บทที่ 1
โครงสร้างและความสำคัญของผลิตภัณฑ์ชาผู่เอ๋อร์ต้าอี้
ตอนที่ 1 ความหมายของชาผู่เอ๋อร์และผลิตภัณฑ์ช่วงแรกของชาต้าอี้
1). ชาผู่เอ๋อร์คืออะไร
ชาผู่เอ๋อร์มีประวัติที่ยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ตงฮั่นและเริ่มมีการค้าขายใบชาใน
ราชวงศ์ถังราชวงศ์หมิงชาผู่เอ๋อร์ได้เป็นที่รู้จักและเริ่มมีชื่อเสียงโดยเฉพาะในราชวงศ์ชิง
ชาผู่เอ๋อร์จะมีชื่อเสียงมากที่สุดบันทึกเรื่องราวและตำนานของชาผู่เอ๋อร์อันลึกลับซับซ้อนน่าหลงไหลเฉก
เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์ที่ต้องผ่านประสบการณ์หลากหลายรสชาติทั้งเปรี้ยวหวานขมและ
ฝาดและจากประวัติอันยาวนานได้พิสูจน์ความเป็นชาที่มีคุณภาพที่ดีเลิศอีกทั้ง
ชาผู่เอ๋อร์ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งล้ำค่ากลิ่นหอมยิ่งละมุนละไม
ที่มาของคำว่า “ผู่เอ๋อร์”
“ผู่เอ๋อร์” เป็นคำที่ใช้เรียกชื่อจังหวัดแห่งหนึ่งที่รู้จักกันดีตั้งแต่สมัยอดีตจังหวัดผู่เอ๋อร์เป็นศูนย์
กระจายเกลือและใบชารวมถึงเป็นศูนย์กลางของเส้นทางคาราวานม้า
โดยมีผู้คนผ่านไปมามากมายจึงทำให้การค้าขายค่อยๆได้รับการพัฒนาจนเป็นที่รู้จักกันดีภายในประเทศจีน
1. ชาผู่
ในสมัยราชวงศ์หยวนมีพื้นที่แห่งหนึ่งชื่อว่า “ปู้ยรื้อปู้” และเมื่อออกเสียงเป็นภาษาจีนกลางอ่านว่า
“ผู่เอ๋อร์” ดังนั้นที่มาของชื่อจังหวัดผู่เอ๋อร์จึงมาจากคำว่า “ปู้ยรื้อปู้”
และถูกเรียกเพี้ยนตามภาษาจีนจนกลายเป็นชื่อจังหวัดผู่เอ๋อร์ในที่สุดในอดีตชาของมณฑลยูนนาน
ไม่มีชื่อเรียกเฉพาะของใบชาผู้คนทั่วไปจึงเรียกชาชนิดนี้ว่า “ชาผู่”
ตามชื่อจังหวัดผู่เอ๋อร์จึงกลายเป็นที่มาของ “ชาผู่”
《จากสมุดบันทึกประจำมลฑลยูนนาน》ได้บันทึกไว้ว่า
“สิ่งที่ทหารและสามัญชนมักดื่มล้วนเป็นชาผู่ซึ่งต้องนึ่งเป็นรูปกลมแล้วค่อยชงมาดื่มได้”
2. ชาผู่เอ๋อร์
ด้วยคุณสมบัติเฉพาะของชาผู่ที่มีรสชาติเข้มข้นชาผู่จึงกลายเป็นชาที่ต้องดื่มคู่กับ
อาหารประเภทเนื้อสัตว์ของชนเผ่าต่างๆที่นิยมรับประทานเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก
เช่นฑิเบตซีคังซินเจียงเป็นต้นด้วยเหตุผลนี้เองชาผู่จึงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
จนกระทั่งถึงราชวงศ์หมิงจึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “ชาผู่เอ๋อร์”
บันทึกของฟางจงทงตอนความรู้เล็กๆน้อยๆทางกายภายได้บันทึกไว้ว่า
“ชาผู่เอ๋อร์นั้นถูกนึ่งให้เป็นลักษณะรูปกลมค้าขายกันในตลาดเขตตะวันตกของจีน”
โดยผลิตภัณฑ์ชาที่ผลิตจากใบชาในเขตมณฑลยูนนานจึงถูกเรียกว่าชาผู่เอ๋อร์
3. ความหมายของชาผู่เอ๋อร์ในปัจจุบัน
ชาผู่เอ๋อร์เป็นใบชาคุณภาพดีที่ปลูกอยู่เฉพาะภายในมณฑลยูนนานเท่านั้น
โดยจะใช้ใบชาที่มีลักษณะใบชาใหญ่แห้งปนสีเขียวผ่านกระบวนการผลิต
ด้วยเทคนิคและวิธีเฉพาะทำให้ได้รสชาติดีเยี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาผู่เอ๋อร์
ชาผู่เอ๋อร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือชาดิบและชาสุกชาดิบคือชาที่ได้จากการทิ้ง
ใบชาไว้ให้เกิดการหมักตัวเองตามธรรมชาติส่วนชาสุกได้จากใบชาซึ่ง
ผ่านกรรมวิธีหมักบ่มโดยเทคนิคพิเศษ “ชาผู่เอ๋อร์ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งล้ำค่ากลิ่นหอมของชายิ่งละมุนละไม”
คือลักษณะพิเศษของชาผู่เอ๋อร์
“ชาผู่เอ๋อร์ที่เก่าเก็บกลิ่นหอมเย้ายวนเปรียบดั่งดอกกล้วยไม้เมื่อใดได้ลิ้มรสชาเสมือนได้รับรู้ถึง
รสชาติที่ผ่านการสั่งสมหมักบ่มมานานนับพันปี”
ชาผู่เอ๋อร์ได้ชื่อว่า “เป็นวัตถุโบราณที่ยังสามารถดื่มได้”
กล่าวกันว่าความล้ำค่าของชาผู่เอ๋อร์อยู่ที่ความเก่าเก็บยิ่งเก็บไว้นานวันมูลค่า
จะยิ่งสูงขึ้นตามกาลเวลาที่เพิ่มขึ้น
2). ผลิตภัณฑ์ช่วงแรกของชาต้าอี้
เริ่มต้นจากฟางเหอจุนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปารีสได้กลับมาที่ประเทศจีนเพื่อ
ทำการฟื้นฟูวงการชาจีนเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะผู้แทน
โดยบริษัทชาแห่งประเทศจีนเพื่อสร้างโรงงานชาที่เมืองเหมิงไห่ใน
มณฑลยูนนานหลังจากสืบทอดความพยายามมาหลายชั่วอายุคนจนกระทั่งถึง
ปัจจุบันนี้ชาเหมิงไห่ได้สืบทอดมรดกชาผู่เอ๋อร์แบบดั้งเดิมและคิดค้น
ผลิตภัณฑ์ชาที่เป็นที่นิยมกันในตลาดหลากหลายรุ่นด้วยกันโดยจะกล่าวถึงรุ่นที่ยอดนิยมในอดีตได้ดังนี้
2.1. ชาแผ่นกลมยี่ห้อจงฉา (Zhong Cha)
ในปีค.ศ.1951 หลังจากโรงงานเหมิงไห่ได้ใช้โลโก้ “จงฉา”
อย่างเป็นทางการแล้วนายถังชิงหยาง (Tang Qing Yang)
ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการอยู่ในเวลานั้นได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ชาแบบต่างๆขึ้นดังนี้
2.1.1. ชาแผ่นกลมฉลากแดง
ชาแผ่นกลมฉลากแดงคือชาผู่เออร์แผ่นกลมในยุคแรกๆของ
โรงงานชาเหมิงไห่เนื่องจากด้านหน้ากระดาษที่ห่อชาพิมพ์โลโก้ของบริษัทว่า “八中茶” (ปาจงฉา)
และตรงกลางโลโก้พิมพ์คำว่า “茶” (ฉา)
ด้วยหมึกสีแดงดังนั้นในหมู่ผู้บริโภคที่นิยมดื่มชาจึงเรียกชาชนิดนี้ว่าชาผู่เออร์ฉลากแดง
หรือ “ชาฉลากแดง”
เนื่องจากชาแผ่นกลมฉลากแดงด้านหน้าฉลากพิมพ์ด้วยน้ำหมึกสีแดงซึ่งในยุคปี 50
(ค.ศ.1950-1959) สีแดงเป็นสีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งดังนั้นฉลากของผลิตภัณฑ์
จึงสะท้อนให้เห็นถึงความหมายและคุณค่าสีสันของยุคสมัยนั้นและมีมูลค่าทางความรู้สึก
ชาผู่เอ๋อร์แผ่นกลมฉลากแดงผลิตจากใบชาขนาดใหญ่สามารถเห็นริ้วลวดลายของ
ใบชาที่ชัดเจนพื้นผิวแผ่นชาเป็นมันเงาสีแดงฉาดฉานสีของชาที่ชงแล้ว
จะได้สีแดงเข้มสดใสรสชาติที่เข้มข้นกลิ่นหอมละมุนละไมทำให้นักดื่มชาสามารถดื่มด่ำ
ไปกับความรู้สึกหรูหราที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้และไม้หอม
ชาผู่เอ๋อร์แผ่นกลมฉลากแดงแบ่งออกเป็น “ชาแผ่นกลมฉลากแดงยุคแรก”
และ “ชาแผ่นกลมฉลากแดงยุคหลัง” ซึ่งชาแผ่นกลมฉลากแดงยุคแรกนั้นพิมพ์
ด้วยตัวอักษรลายพู่กันที่ค่อนข้างหนาส่วนชาแผ่นกลมฉลากแดงยุคหลัง
รูปแบบตัวอักษรค่อนข้างบางกว่าและมีความเป็นเครื่องหมายการค้า
ในตัวมันเองชาแผ่นกลมฉลากแดงยุคแรกจะผลิตจากใบที่ค่อนข้างอ่อนนุ่มได้กลิ่นหอมที่ชัดเจน
ของดอกกล้วยไม้ ส่วนชาแผ่นกลมฉลากแดงยุคหลังนั้นใช้
ใบชาแก่ใบหนาซึ่งชาที่ได้จะมีกลิ่นไม้หอมที่เข้มข้น
2.1.2. ชาแผ่นกลมฉลากเขียว
“ชาแผ่นกลมฉลากเขียว”
เป็นผลิตภัณฑ์ชายุคแรกๆของโรงงานเหมิงไห่เช่นกันกระดาษที่ห่อชาตรงกลางฉลาก
โลโก้พิมพ์คำว่า “茶” ด้วยน้ำหมึกสีเขียวดังนั้นตลาดชาทั่วไปจึงเรียกชาชนิดนี้ว่า
“ชาแผ่นกลมฉลากเขียว” ส่วนประเภทของชาแผ่นกลมฉลากเขียวจะแบ่งตามปีที่ผลิตชา
เช่นเดียวกับชาแผ่นกลมฉลากแดงโดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ “ชาแผ่นกลมฉลากเขียวยุคแรก”
และ “ชาแผ่นกลมฉลากเขียวยุคหลัง”
1). “ชาแผ่นกลมฉลากเขียวยุคแรก”
ชาแผ่นกลมฉลากเขียวยุคแรกยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ชาแผ่นกลมฉลากเขียวเจียอี่”
หรือ “ฉลากน้ำเงินเจียอี่” ผลิตภัณฑ์ชาแผ่นกลมฉลากเขียวเจียอี่นั้นมีลักษณะพิเศษ
ในแง่ของคุณภาพของชาซึ่งชาทุกแผ่นที่ผลิตขึ้นสามารถแน่ใจได้ว่ามีคุณภาพที่ดีสม่ำเสมอทุกแผ่นเมื่อ
เปรียบเทียบกับชาแผ่นกลมฉลากแดงยุคแรกในแง่ของคุณภาพ
โดยรวมแล้วจะพบว่าชาแต่ละชนิดมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างกันและหากเปรียบเทียบ
กับชาแผ่นกลมฉลากแดงยุคหลังแล้วรสชาติของชาแผ่นกลมฉลากเขียวเจียอี่จะมีรสชาติที่อ่อนกว่า
และมีความกลมกล่อมมากขึ้นด้วยกลิ่นหอมของชาที่โดดเด่นอบอวลไปด้วย
กลิ่นไม้ที่เด่นชัดจึงจัดได้ว่าเป็นชาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
2). “ชาแผ่นกลมฉลากเขียวยุคหลัง”
ชาแผ่นกลมฉลากเขียวที่ผลิตในยุคต่อมาถูกเรียกว่า
“ชาฉลากเขียวยุคหลัง” แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
“ฉลากเขียวไม่ห่อกระดาษ” และ “ฉลากเขียวอักษรใหญ่”
โดยทั่วไปแล้วชาผู่เออร์หลังจากผ่านกระบวนการผลิตแล้วจะต้องนำแผ่นชามาห่อด้วยกระดาษแล้วนำไป
บรรจุภัณฑ์ก่อนนำออกสู่ตลาดแต่ชาแผ่นกลมฉลากเขียวประเภทนี้แตกต่างกับชาประเภทอื่นตรงที่เมื่อผลิต
ชาเสร็จแล้วแผ่นชาจะเปลือยเปล่าไม่นำไปห่อกระดาษใดๆทั้งสิ้นแล้วนำลงกล่องบรรจุภัณฑ์ออกสู่ตลาดทันที
ชาประเภทนี้จึงถูกเรียกว่า “ชาไม่ห่อกระดาษ” ชาไม่ห่อกระดาษรุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดคือชาแผ่นกลมหง
เหรียญ (บัวแดง) ซึ่งเป็นชาที่มีคุณภาพดีและผลิตในจำนวนจำกัด
ชาแผ่นกลมฉลากเขียวอักษรใหญ่ผลิตได้หลังจากปีค.ศ.1950 วัตถุดิบในการผลิตชาฉลากเขียวไม่ห่อกระดาษนั้นจะใช้ใบชาแก่ผิวด้านบนของแผ่นชาเป็นมันเงารสชาติของชาที่ได้จะนุ่มนวลและมีกลิ่นหอมที่ชัดเจนของดอกกล้วยไม้
2.1.3. “ชาแผ่นกลมฉลากเหลือง”
ประมาณปลายยุคปี 50 อาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคของชาฉลากแดงหรือชาฉลากเขียวยุคหลังนั่นเองโรงงานชาเหมิงไห่ได้ผลิตชาผู่เออร์ซึ่งห่อหุ้มด้วยกระดาษมีเครื่องหมายการค้าคำว่า “茶” พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลืองชาชนิดนี้ถูกตั้งชื่อโดยนักดื่มชาทั่วไปว่า “ชาแผ่นกลมฉลากเหลือง”
ชาแผ่นกลมฉลากเหลืองในส่วนของสูตรและวัตถุดิบในการผลิตชานั้นจะใช้ใบแก่เป็นหลักและผสมด้วยใบชาอ่อนดังนั้นชาที่ได้จึงมีรสชาติหวานนุ่มนวลเมื่อดื่มแล้วจะรับรู้ได้ถึงความอ่อนละมุนชุ่มคอ
2.2 ชาชีจื่อปิ่ง
ในช่วงสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน (ค.ศ.1960 - 1969) วงการชาผู่เอ๋อร์ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วบริษัทจงฉาต้องการจะเปลี่ยนรูปแบบของกระดาษห่อผลิตภัณฑ์ชาฉลากเขียวตัวอักษรแบบดั้งเดิมให้เป็นตัวอักษรแบบย่อในรูปแบบเดียวกันทั้งหมดโดยมีการประยุกต์กระดาษห่อใหม่ภายใต้ชื่อ “ชาแผ่นกลมจงฉา” (中茶牌圆茶) ซึ่งจะพิมพ์อยู่บริเวณด้านบนของฉลากกระดาษห่อส่วนบริเวณด้านล่างของกระดาษห่อจะเปลี่ยนเป็น “ชายูนนานชีจื่อปิ่ง” (云南七子饼茶 ) และในขณะเดียวกันก็มีการปรับตัวอักษรจีนบนกระดาษห่อให้มีขนาดเล็กลงและเพิ่มอักษรพินอินด้านล่างกลายมาเป็นรูปแบบกระดาษห่อชาที่เราพบเห็นในปัจจุบันระหว่างปีค.ศ.1970 - 1979 ได้มีชาชีจื่อปิ่งผลิตออกสู่ท้องตลาด 2 รุ่นด้วยกันคือ
2.2.1. ชาชีจื่อปิ่งฉลากเหลือง
ชาชีจื่อปิ่งฉลากเหลืองถือได้ว่าเป็นยุคของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ชีจื่อปิ่งของโรงงานชาเหมิงไห่และภายหลังไม่กี่สิบปีต่อมา
ชาชีจื่อปิ่งได้ส่งผลให้โรงงานชาเหมิงไห่กลายเป็นแบรนด์ชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังออกไปยังประเทศต่างๆทั่วโลกเช่นฮ่องกงมาเก๊าไต้หวันเกาหลีไต้มาเลเซียและไทย
ความจริงแล้วชาชีจื่อปิ่งฉลากเหลืองเป็นคำที่ใช้เรียกผลิตภัณฑ์ทั่วๆไปของชากลุ่มฉลากเหลืองเช่น “ชีจื่อปิ่งฉลากเหลืองรุ่นปาจง ” “ชาชีจื่อปิ่งฉลากเหลืองรุ่นอักษรเล็ก” “ชาชีจื่อปิ่งฉลากเหลืองอักษรเขียวสูตรพิถีพิถัน ” “ชาชีจื่อปิ่งฉลากเหลืองรุ่นอักษรเขียว” “ชาชีจื่อปิ่งฉลากเหลืองรุ่นแอปเปิ้ลเขียว” “ชาชีจื่อปิ่งฉลากเหลืองเข้ม” เป็นต้น ชนิดของใบชาที่แตกต่างกันแสดงถึงความแตกต่างของชื่อรุ่นที่ผลิตซึ่งมีลักษณะและความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละรุ่นที่แตกต่างกันออกไป
2.2.2. ชาชีจื่อปิ่งฉลากน้ำเงินเข้ม
ในช่วงแรกๆที่โรงงานชาเหมิ่งไห่ผลิตชาชีจื่อปิ่งนั้นจะมีชารุ่นหนึ่งกระดาษห่อชาตรงกลางที่พิมพ์คำว่า “茶” พิมพ์ด้วยน้ำหมึกสีน้ำเงินตลาดชาทั่วไปจึงเรียกชารุ่นนี้ว่า “ชีจื่อปิ่งฉลากน้ำเงินเข้ม”
ชีจื่อปิ่งฉลากน้ำเงินเข้มใช้วัตถุดิบเป็นชาใบใหญ่ในการผลิตชาน้ำชาที่ได้จะมีกลิ่นหอมของเนื้อไม้ที่ชัดเจนรสชาติของชาจะนุ่มนวลและบางเบาแต่ชุ่มลิ้น
2.2.3. ชาชีจื่อปิ่งรุ่นเชือกแดง
ในช่วงที่โรงงานชาเหมิงไห่ผลิตชีจื่อปิ่งออกสู่ท้องตลาดก็ได้ผลิตชาประเภทหนึ่งโดยในเนื้อชาอัดแผ่นกลมจะมีเชือกสีแดงซ่อนอยู่ซึ่งจะมีชื่อเรียกว่า“ชีจื่อปิ่งเชือกแดง” ชาชีจื่อปิ่งเชือกแดงนั้นผลิตตามความต้องการของพ่อค้าชาในตลาดฮ่องกงกระดาษห่อชาจะใช้กระดาษฝ้ายมีริ้วลายเส้นมีรูตรงกลางบนแผ่นชาเป็นสัญลักษณ์ของอักษรจีน “中” และมีช่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อัดแผ่นด้วยฝีมือแรงงานคนโดยเลือกใช้วัตถุดิบเป็นชาใบเล็กในการผลิตมีกลิ่นหอมดอกกล้วยไม้รสชาติเข้มข้นกลมกล่อมหวานชุ่มคอ
2.2.4.ชาชีจื่อปิ่ง 7542
ชาชีจื่อปิ่ง 7542 นับว่าเป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์ชาดิบของโรงงานชาเหมิงไห่โดยใช้เทคนิคการผสมผสานในการผลิตซึ่งใช้ยอดชาสดอ่อนเป็นผิวหน้าแผ่นชาเนื้อชาด้านในจะใช้ใบชาที่แก่กว่าเนื้อชาด้านนอกโรงงานชาเหมิงไห่มีการผลิตชารุ่นนี้ทุกปีในปีค.ศ. 1973 โรงงานชาเหมิงไห่ได้วิจัยและคิดค้นวิธีการหมักชาผู่เอ๋อร์สุกได้สำเร็จต่อมาในปีค.ศ.1975 โรงงานชาเหมิงไห่ได้ผลิตชารุ่น 7542 (ชาดิบ) และ 7572 (ชาสุก) ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้ได้รับการยอมรับจากวงการชาผู่เอ๋อร์อย่างสูงสุดทำให้เป็นชาผู่เอ๋อร์รุ่นมาตรฐานมาจนปัจจุบัน
73 ชิงปิ่งเป็นผลิตภัณฑ์ชา 7542 ยุคแรกของโรงงานชาเหมิงไห่ในปลายยุคปี 70 ถึงต้นยุคปี 80
“73 ชิงปิ่ง” เป็นชื่อทางการซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นชายุคแรกของแผ่นชาชีจื่อเหมิงไห่ 7542
73 ชิงปิ่งมีกระบวนการผลิตโดยใช้เทคนิคการผสมผสานใบชาในการผลิตชา ด้านบนของแผ่นชาจะใช้ยอดชาอ่อนระดับ 3-4 ใจกลางแผ่นชาจะใช้ชาค่อนข้างแก่ระดับ 5-6 ซึ่งจะมีกลิ่นใบชาแก่ที่บริสุทธิ์สีน้ำชาดูใสรสชาติหวานนุ่มชุ่มลิ้น
88 ชิงปิ่ง (ปาปาชิงปิ่ง)
88 ชิงปิ่งหรือแผ่นชาชีจื่อ 7542 เป็นผลิตภัณฑ์ที่โรงงานชาเหมิงไห่ได้ผลิตออกมาในช่วงปีคริสต์ศักราช 1988 ถึง 1992 เนื้อแผ่นชามีความเงางามเป็นประกายกลิ่นหวานน้ำผึ้งชัดเจนสีของน้ำชาเป็นสีเหลืองอำพันสดใสกลิ่นหอมสดชื่นรสหวานชุ่มชื่นดื่มแล้วลื่นคอเปรียบเหมือนน้ำแร่ที่หวานไหลหยดเป็นสายและกลมกล่อมชุ่มลิ้นอยู่ในปากเนิ่นนาน
โรงงานชาเหมิงไห่ได้ขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า “ยี่ห้อต้าอี้” ในปีค.ศ. 1989 ซึ่งเป็นแนวคิดริเริ่มขั้นสูงนำไปสู่การก่อตั้ง “บริษัทอุตสาหกรรมชาเหมิงไห่จำกัด” นับเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมชาในประเทศนับตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมาจึงมีการส่งเสริมชาชีจื่อปิ่งยี่ห้อ “ต้าอี้”
ชาต้าอี้ชีจื่อปิ่งเน้นชาดิบและชาสุกโดยกำหนดสัญลักษณ์กลุ่มหมายเลขดังนี้หมายเลข 7542 เป็นใบชาสดที่ผ่านการตากแดดและนำมาผลิตเป็นชาดิบผู่เอ๋อร์แต่ถ้านำชาที่หมักกองไว้มาเป็นวัตถุดิบผลิตเป็นชาสุกผู่เอ๋อร์จะเป็นหมายเลข 7572 แผ่นชาทุกแผ่นมีสัญลักษณ์เครื่องหมายการค้าของต้าอี้ฝังอยู่กระดาษห่อแผ่นชาก็ใช้สัญลักษณ์ทางการค้า “ยี่ห้อต้าอี้” ซึ่งบนกระดาษห่อชามักจะพบเห็นตัวอักษร “大益” สีแดงและสีม่วงกุหลาบสองสีนี้ ต่อมาในช่วงปีค.ศ.1996 ถึงค.ศ.2002 ชาหมายเลข 7542 ใช้กระดาษห่อชามีสัญลักษณ์อักษร “大益” สีแดงวงการค้าชาจึงเรียกชาชนิดนี้ว่า “ต้าอี้แดง” ส่วนชาหมายเลข 7542 ที่ใช้กระดาษห่อชาพิมพ์สัญลักษณ์อักษร “大益” สีม่วงกุหลาบวงการค้าชาเรียกชาชนิดนี้ว่า “ต้าอี้กุหลาบ”
ชาชีจื่อปิ่งฉลากส้ม
ยุคที่ผลิตชีจื่อปิ่งฉลากส้มอยู่ประมาณปีค.ศ.1996 – ค.ศ.1997 โดยบริษัทหนานเทียนเป็นผู้สั่งผลิตบนกระดาษห่อชาตรงกลางพิมพ์อักษร “茶” สีเหลืองส้มคุณภาพชาดีเยี่ยมรูปแบบชาคล้ายกับฉลากเขียวและฉลากเหลืองแต่ในตลาดชาเรียกกันว่า “ฉลากส้ม”
ชาชีจื่อปิ่ง 7572
ผลิตภัณฑ์ชาชีจื่อปิ่ง 7572 ของโรงงานชาเหมิงไห่ใช้ชาสดที่ผ่านกระบวนการหมักชามาผลิต โดยผลิตภัณฑ์ชาสุกชนิดนี้มีคุณภาพดีสมเป็นตัวอย่างมาตรฐานชาสุกของโรงงานชาเหมิงไห่และเป็นชาสุกรุ่นที่ถูกผลิตในปริมาณมากที่สุดของโรงงานชาเหมิ่งไห่อีกด้วย
ช่วงยุคกลางทศวรรษ 70 (ยุคปฏิวัติทางวัฒนธรรม) เริ่มมีการผลิตผลิตภัณฑ์ชา 7572 และผลิตต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันซึ่งโรงงานชาเหมิงไห่ในยุคแรกใช้โลโก้ “中茶” (จงฉา) บนกระดาษห่อแผ่นชากระดาษสัญลักษณ์ที่ฝังด้านในแผ่นชารวมทั้งคำแนะนำโดยจะพิมพ์ระบุว่า “ผลิตโดยโรงงานชาเหมิงไห่” ต่อมาหลังยุคทศวรรษ 90 กระดาษห่อแผ่นชากระดาษสัญลักษณ์ที่ฝังด้านในแผ่นชารวมถึงคำแนะนำโดยทั่วไปของผลิตภัณฑ์ได้เปลี่ยนเป็นโลโก้ “ต้าอี้” และจะพิมพ์ระบุไว้ว่า “บริษัทอุตสาหกรรมชาเหมิงไห่จำกัด” ชา 7572 ที่ใช้ใบชาผ่านการหมักก่อนนำมาผลิตเป็นชาสุกนั้นได้ใช้ใบชาอ่อนในไร่ชาเหมิงไห่มาทำเป็นส่วนใจกลางของแผ่นชา นำยอดชาอย่างดีมาโรยหน้าแผ่นชาสีน้ำของชาเป็นสีแดงเข้มใส มีกลิ่นชาบริสุทธิ์ รสชาติกลมกล่อมกลิ่นหอมหวานชัดเจน
ชาชีจื่อปิ่ง 7532
ในการผลิตชาชีจื่อปิ่งของโรงงานชาเหมิงไห่นั้นชารุ่น 8582 จะใช้ใบชาค่อนข้างแก่หนา, รุ่น 7542 ใช้ใบชาค่อนข้างสมบูรณ์และแข็งแรงส่วนรุ่น 7532 ใช้ใบชาอ่อนนุ่มที่สุดชั้นบนของหน้าแผ่นชาของรุ่น 7532 จะใช้ยอดชาอ่อนใบแรกเป็นวัตถุดิบส่วนใหญ่ในการผลิต
ชิงปิ่งฉลากหิมะเป็นชาเหมิ่งไห่ชีจื่อปิ่ง 7532 ของโรงงานชาเหมิงไห่ที่ผลิตออกมาในตอนต้นถึงกลางทศวรรษ 80 ด้วยเหตุที่ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดีเหมาะกับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยดังนั้นจึงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
หากจะกล่าวถึงตัวผลิตภัณฑ์ชาที่มีชื่อว่า “ฉลากหิมะ”แล้วก็คือยอดชาอ่อนใบแรกที่เต็มไปด้วยขนสีขาวคล้ายถูกปกคลุมด้วยหิมะคุณภาพของชาชนิดนี้เทียบกับชาฉลากแดงและฉลากเหลืองแล้วมีความแตกต่างกันผลิตภัณฑ์ต่างมีความโดดเด่นเฉพาะตัวด้วยคุณภาพชั้นดีของชาชิงปิ่งฉลากหิมะจึงมีชื่อเรียกชาชนิดนี้ในกลุ่มพ่อค้าชาว่า “ยอดเมฆ” คุณภาพสู้ฉลากน้ำเงินได้สีน้ำของชาเป็นสีแดงเข้มข้นกลิ่นหอมของชาที่เก็บไว้เป็นช่วงเวลาหนึ่งจะมีรสชาติที่กลมกล่อมนุ่มนวลละมุนละไม
ผลิตภัณฑ์รุ่น 7532 ที่โรงงานชาเหมิงไห่ผลิตมีชาชุดหนึ่งที่มีแผ่นชาขนาดเล็กกว่าปกติทั่วไปซึ่งมีน้ำหนักสุทธิเพียง 250 กรัม คัดเลือกใช้ใบชาที่ค่อนข้างอ่อนนุ่มพิเศษกว่าปกติมาเป็นวัตถุดิบโดยใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกันทั้งแผ่นผลิตภัณฑ์รุ่นนี้จึงมีความโดดเด่นเฉพาะตัว ช่วงระยะแรกที่เริ่มผลิตชารุ่นนี้ พ่อค้าชาเรียกชาชนิดนี้ว่า “แผ่นชายู่ส่าง” “ยู่”หมายถึงราชาส่วน “ส่าง” หมายถึงชม ในแวดวงธุรกิจค้าชาก็เรียกชาประเภทนี้ว่า “ชาแผ่นเล็ก 7532” ซึ่งก็หมายถึงแผ่นชายู่ส่างนั่นเอง
ชาอิฐแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน
ในปี 1967 โรงงานชาเหมิงไห่ได้รับอิทธิพลจากการผลิตชาทรงอิฐของบริษัทจงฉาซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของจีนความเป็นอยู่ของทั้งประเทศไม่ค่อยคงที่เนื่องจากทุกสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างโรงงานชาเหมิงไห่จึงใช้ชื่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรมมาเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ชาทรงอิฐชุดแรกว่า “ชาอิฐแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรม”
ชาอิฐแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นชาผู่เอ๋อร์ทรงอิฐชุดแรกมีลักษณะทรงเรียวยาวด้านในก้อนชาเป็นแกนก้านของใบชาพื้นผิวชาอิฐเป็นสีน้ำตาลแดงน้ำชาสีแดงเข้มใสรสชาติกลมกล่อมฝาดเล็กน้อยเกิดความชุ่มลิ้น
ชาทรงอิฐหนา 73
ในปีค.ศ. 1973 หลังจากโรงงานชาเหมิงไห่ค้นพบและวิจัยวิธีการหมักบ่มชาได้สำเร็จก็มีการผลิตชาสุกผู่เอ๋อร์ทรงอิฐชุดหนึ่งออกสู่ท้องตลาดโดยใช้ใบชาที่แก่และหนาที่สุดเป็นวัตถุดิบซึ่งผ่านกรรมวิธีหมักบ่มจนถึงอัดขึ้นรูปเป็นทรงอิฐด้วยเหตุที่ใช้ใบชาแก่จึงมีเส้นใยในใบชาขนาดใหญ่จำนวนมากในการบีบอัดเป็นรูปทรงยาวที่เท่ากันแม้จะมีน้ำหนักเท่ากันกับชารุ่นอื่นที่ใช้ใบชาแบบปกติแต่ความหนามากกว่าในขณะเดียวกันก็ไม่ใช้แรงอัดแน่นจนเกินไปด้วยเหตุนี้เองจึงได้ใช้ชื่อชาว่า “ชาทรงอิฐหนา 73”ชาชนิดนี้มีกลิ่นชาเข้มข้นหอมนานน้ำชามีสีน้ำตาลแดงเข้มรสชาติค่อนข้างหวานชุ่มคอกากใบชามีสีน้ำตาลดำเข้ม
ชาทรงอิฐ 7562
ชาทรงอิฐ 7562 เป็นผลิตภัณฑ์ชาปลายยุคสิ้นสุดการปฏิวัติทางวัฒนธรรมถือเป็นรุ่นแบบชาเหมือนกับชาอิฐแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรมชาทรงอิฐ 7562 ใช้กระบวนการผลิตแบบกองหมักเพื่อผลิตเป็นชาสุกใช้ใบชาที่ค่อนข้างอ่อนและนิ่มมาเป็นวัตถุดิบไขมันจากยอดต้นกล้าใบชาทำให้เกิดรสคล้ายดอกบัวรสชาติกลมกล่อมค่อนข้างหวานชุ่มและลื่นคอ
ชาผู่เอ๋อร์ทรงเหลี่ยม (ตาราง)
โรงงานชาเหมิงไห่ได้เริ่มผลิตชาผู่เอ๋อร์ทรงเหลี่ยม (ตาราง) มาตั้งแต่ปลายยุคทศวรรษ 60 ซึ่งมีน้ำหนักสุทธิ 100 กรัมและ 250 กรัมด้านหน้าและด้านหลังแผ่นชาอัดพิมพ์ด้วยอักษรที่ต่างกันคือ “八中茶” และ “普洱方茶” ซึ่งเดิมในยุคแรกของผลิตภัณฑ์ใช้รูปตาราง 9 ช่องพิมพ์แทนที่ตัวอักษร “八中茶” เพื่อให้ง่ายต่อการใช้มือหักชาออกในช่วงที่โรงงานชาเหมิงไห่ได้ผลิตชาทรงเหลี่ยม(ตาราง) ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนค.ศ. 1991 จนกระทั่งถึงเดือนมกราคมค.ศ. 1993 ของการผลิต มีชาที่คุณภาพดีมากและได้รับความชื่นชอบจากผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อเรียกว่า “ชาเหลี่ยมเก้าสอง”เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั้งในและนอกประเทศและเป็นที่นิยมกันอย่างมากในเวลานั้น
普洱方茶外包装 普洱方茶背面字样
บรรจุภัณฑ์ของชาผู่เอ๋อร์ทรงเหลี่ยม แบบอักษรด้านหลังของชาผู่เอ๋อร์ทรงเหลี่ยม
ผลิตภัณฑ์ชาต้าอี้ในยุคแรกบางชนิดบนด้านบนกระดาษห่อชาได้พิมพ์เครื่องหมายการค้าอักษร “中茶” (จงฉา) แต่บางชนิดก็พิมพ์เครื่องหมายการค้า “大益” (ต้าอี้) แต่ไม่ว่าจะพิมพ์เครื่องหมายการค้าแบบใดล้วนแล้วก็เป็นสินค้ายอดนิยมที่ผลิตโดยโรงงานชาเหมิงไห่ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถือว่าเป็นการถ่ายทอดแนวความคิดและมรดกทางวัฒนธรรมในการผลิตสินค้ารุ่นใหม่ๆของต้าอี้
ตอนที่ 2 คำนิยามของชาผู่เอ๋อร์ต้าอี้
ภารกิจพื้นฐานของบริษัทต้าอี้คือสรรหาชาผู่เอ๋อร์ที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคลให้กับคนที่รักชาชาต้าอี้เป็นผลิตภัณฑ์ชาที่ผลิตภายใต้สภาพแวดล้อมแบบธรรมชาติและผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยแล้วจึงผ่านการเก็บรักษาภายใต้อุณหภูมิที่เหมาะสมยิ่งเก็บไว้นานกลิ่นหอมของชาจะยิ่งละมุนละไมด้วยเหตุนี้บริษัทต้าอี้จึงได้สรุปคำนิยามออกมาได้ 3 ประการดังนี้
1. ต้นกำเนิดที่มีคุณภาพ O (Origin)
ความสำคัญของต้นกำเนิดที่มีคุณภาพจะส่งผลให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพในการผลิตการผสมผสานแหล่งที่มาของวัตถุดิบและคุณสมบัติของวัตถุดิบซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภทดังนี้
1.ความได้เปรียบด้านความหลากหลายของวัตถุดิบ
ชาผู่เอ๋อร์เป็นชาที่ผลิตได้จากใบชาแห้งขนาดใหญ่ที่ปลูกภายในมณฑลยูนนานซึ่งผ่านกระบวนการและเทคนิคเฉพาะจนกลายมาเป็นชาผู่เอ๋อร์และกล่าวได้ว่าใบชาขนาดใหญ่เป็นวัตถุดิบสำคัญหลักในการผลิต ชาผู่เอ๋อร์และเมื่อเปรียบเทียบกับใบชาขนาดเล็กแล้วโครงสร้างของใบชาชนาดใหญ่มีข้อเด่นดังนี้
(1) ข้อเด่นของโครงสร้างใบชาขนาดใหญ่
ประการแรกคือเนื้อเยื่อผิวที่บางชาเป็นพืชประเภทปลูกอยู่บนภูเขาจะมีเนื้อเยื่อที่ผิวอยู่หนึ่งชั้นทำหน้าที่คอยป้องปกใบเนื้อเยื่อที่ผิวจะทำหน้าที่คอยปกป้องและต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมหากสภาพแวดล้อมแย่หรือเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเนื้อเยื่อที่ผิวมักจะหนาหากอุณหภูมิเหมาะสมกับพืชในพื้นที่นั้นเนื้อเยื่อผิวก็จะบางใบชาขนาดใหญ่ของยูนนานเนื้อเยื่อที่ผิวค่อนข้างบางเนื้อเยื่อผิวที่บางนอกจากจะมีผลดีในแง่ของการสังเคราะห์แสงแล้วยังมีผลในการสะสมของสารอาหารต่างๆทำให้เป็นชาที่มีคุณภาพดีและในขณะเดียวกันเนื้อเยื่อผิวที่บางยังมีผลดีในแง่ของการผลิตชาในขั้นตอนแรกและแปรรูปใบชาอีกด้วยหากเป็นใบชาขนาดใหญ่ควรนวดชาเบาๆจึงจะได้ชาที่มีเนื้อหลวมไม่เกาะกลุ่มกันและรูปร่างของชาจะยังคงสวยหากเป็นใบชาปลูกในที่ราบก็ควรนวดชาแรงๆชาที่ได้ก็จะเกาะกลุ่มกันแน่นชาที่ได้จะเข้มข้นสามารถชงชาได้หลายครั้ง
ประการที่สองคือหน้าใบที่กว้างและแผ่นใบชาที่บางเมื่อเปรียบเทียบกับใบชาขนาดกลางและขนาดเล็กแล้วใบชาขนาดใหญ่มีขนาดความกว้างของหน้าใบมากกว่าใบชาขนาดกลางและเล็กถึง 2-3 เท่าและแผ่นใบมีความบางมากกว่าความกว้างของหน้าใบยิ่งเยอะคลอโรพลาสต์ (Chloroplast มีหน้าที่ในการสังเคราะห์แสงของพืช) ก็จะมีปริมาณเยอะซึ่งคลอโรพลาสต์ (Chloroplast) ในใบชาขนาดใหญ่มีประมาณ 60-100 กรานา (grana) ในขณะที่ใบชาขนาดเล็กมีเพียง 20 - 30 กรานา (grana) ) มีผลให้คุณสมบัติในการสังเคราะห์แสงมีประสิทธิภาพสูง มีผลช่วยในการรับแสงรวมถึงเพิ่มการผลิตสารโพลีฟีนอล (Pholyphenol) ในใบชาและเพิ่มการสะสมของสารคาเฟอีน (caffeine) ที่ทำให้ได้ชาที่มีรสชาติเข้มข้นแผ่นใบชาที่บางจะมีความอ่อนนุ่มกว่าปกติและมีปริมาณกรดอะมิโน (amino acid) สูงทำให้ใบชาที่ได้มีความสดใหม่
ประการที่สามมีองค์ประกอบของแพลิเซดเซลล์ (PALISADE CELL) หรือเนื้อเยื่อฟองน้ำมีปริมาณสัดส่วนที่แตกต่างกันมากในใบขนาดใหญ่จะมีองค์ประกอบของแพลิเซดเซลล์ (PALISADE CELL) หรือเนื้อเยื่อฟองน้ำเป็นปริมาณสัดส่วน 1:2 หรือ 1:3 ในขณะที่ใบชาขนาดเล็กจะมีสัดส่วนเพียง 1:1 หรือ 1:1.5 สัดส่วนยิ่งเยอะมีผลดีต่อการผลิตปริมาณโพลีฟีนอล (Pholyphenol) คาเฟอีน (caffeine) และสารอื่นๆซึ่งสารเหล่านี้ยิ่งเยอะจะทำให้ชามีรสชาติที่เข้มข้นอีกทั้งใบชาที่มีขนาดใหญ่จะมีองค์ประกอบของเนื้อเยื่อฟองน้ำที่มีขนาดเล็กจึงทำให้ชาที่ได้สามารถชงดื่มได้ซ้ำหลายครั้ง
(2) ข้อเด่นขององค์ประกอบของสารในชาใบใหญ่
ปริมาณส่วนประกอบของสารโพลีฟีนอล (Pholyphenol) กรดอะมิโน (amino acid) และคาเฟอีน (caffeine) เป็นคุณลักษณะสำคัญที่สุดของสายพันธุ์ชาวิธีการสังเคราะห์แสงที่แตกต่างกันความแตกต่างในด้านคุณสมบัติทางชีวเคมีของชาก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและปริมาณของสาร 3 องค์ประกอบนี้ด้วยกัน
ใบชาสดของใบชาประเภทใบขนาดใหญ่มีองค์ประกอบของสารโพลีฟีนอลค่อนข้างสูงและมีสารประกอบคาเทชิน (Catechin) คิดเป็นสัดส่วนทั้งหมด 70% ของสารสารโพลีฟีนอล (Pholyphenol) ในขณะที่ใบชาสดของใบชาประเภทขนาดเล็กจะมีปริมาณของสารโพลีฟีน (Pholyphenol) อยู่ในระดับต่ำ
โดยทั่วไปในใบชาจะมีสารประเภทคาเทชิน (Catechin) เป็นองค์ประกอบซึ่งสารคาเทชิน (Catechin) เกิดจากสารหลายๆชนิดรวมอยู่และในนั้นมี L-EGCG เป็นองค์ประกอบที่มีปริมาณมากที่สุดรองลงมา คือ L-ECG และ L-EGC แต่ใบชาประเภทใบขนาดใหญ่ที่ปลูกในมณฑลยูนนานมีปริมาณ L-ECG ใกล้เคียงกับปริมาณ L-EGCG นอกจากนั้นปริมาณของ L-EC และ D,L-C ปริมาณ L-C ยังใกล้เคียงกับ L-EGC หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามีปริมาณมากกว่า L-EGC อีกด้วยซึ่งแสดงให้เห็นว่าใบชาประเภทใบขนาดใหญ่มีปริมาณเอสเตอร์คาเทชิน (Catechin) มากกว่าใบชาประเภทใบขนาดเล็กอย่างชัดเจนจึงส่งผลให้ใบชามีรสชาติที่กลมกล่อมอมหวานชุ่มชื่นสามารถชงดื่มได้หลายครั้งและยังมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างสูง
สารโพลีฟีนอล (Pholyphenol) กรดอะมิโน (amino acid) และคาเฟอีน (caffeine) เป็นองค์ประกอบหลักทางกายภายและทางเคมีคุณสมบัติของสารโพลีฟีนอล (Pholyphenol) คือมีรสขมและออกไซด์ (Oxide สารประกอบออกซิเจนกับธาตุอื่น) เป็นสารหลักที่ทำให้น้ำชามีรสชาติสดชื่นกรดอะมิโน (amino acid) มีคุณสมบัติทำให้ชามีรสชาติสดและอมหวานและประกอบกับสารคาเฟอีน (caffeine) จนเกิดสารหลักที่ทำให้น้ำชามีรสชาติสดชื่นแจ่มใสคุณสมบัติของคาเฟอีน (caffeine) ทำให้เกิดรสขมเมื่อประกอบกับสารทีฟาวิน (Theaflavin) ยิ่งทำให้น้ำชามีรสชาติที่สดชื่นมากขึ้นและถือว่าเป็นสารประกอบที่สำคัญทำให้เกิดรสชาติของน้ำชาแม้ว่าทางทฤษฎีจะพบว่าประเภทใบชาขนาดใหญ่จะมีกรดอะมิโน (amino acid) ในปริมาณน้อยกว่าใบชาขนาดเล็กแต่เนื่องจากสภาพภูมิอากาศของยูนนานที่ปกคลุมไปด้วยหมอกดังนั้นปริมาณกรดอะมิโน (amino acid) ในใบชาที่มีอยู่จึงไม่น้อยไปกว่าใบชาขนาดเล็กแต่อย่างใดทำให้ชาผู่เอ๋อร์มีรสชาติที่ดื่มแล้วสดชื่นแจ่มใสอุดมไปด้วยคุณประโยชน์สัมผัสได้ถึงรสชาติในหลายระดับ
2. สภาพพื้นดิน
ชาเป็นพืชที่ต้องการสภาพดินที่เป็นกรดและต้องการสภาพดินที่มีค่า pH ระหว่าง 4 - 6.5 (สภาพดินที่มีค่า pH ระหว่าง 4.5-5.5 ถือว่าค่า pH ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับต้นชาในการเจริญเติบโตของต้นชา) ต้นชาไม่ชอบสภาพดินที่มีแคลเซียมสูงเช่นดินปูน (มีปริมาณแคลเซียมมากกว่า 0.2%) ซึ่งมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นชาหรืออาจถึงกับทำให้ต้นชาตายได้สภาพดินของยูนนานส่วนใหญ่เป็นดินศิลาแลงดินแดงเข้มดินแดงดินเหลืองฯลฯซึ่งจะมีค่า pH ระหว่าง 5.0-6.2 ซึ่งมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆเหมาะแก่การเจริญเติบโตของต้นชา
สภาพชั้นดินที่ลึกมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นชาโดยทั่วไปต้องการความลึกมากกว่า 80 ซ.ม. ซึ่งจะทำให้ดินกักเก็บน้ำได้ง่ายสภาพของดินควรมีความร่วนซุยทำให้สามารถกักเก็บปุ๋ยและน้ำได้ดีเหมาะสมต่อการเติบโตของต้นชา
เมื่อ 200 ล้านปีก่อนภูเขาไฟหยางต่าว (Yang Dao) ปรากฏขึ้นมาจากมหาสมุทรและผ่านการเปลี่ยนแปลงอันยาวนานนับล้านปีเถ้าถ่านของภูเขาไฟที่มอดไปแล้วทำให้สภาพดินกลายเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งอุดมไปด้วยสารอินทรีย์ทำให้ดินมีสภาพร่วนซุยอากาศผ่านได้ดีและยังทำให้เกิดการระบายและกักเก็บน้ำได้พอเหมาะไร่ชาเก่าแก่ของเหมิ่งไห่ก็อยู่แถบภูเขาไฟนั่นเองสภาพของดินเป็นดินภูเขาไฟเก่าจึงเป็นสภาพดินที่เหมาะสมกับต้นชาผู่เอ๋อร์มากที่สุด
3. อุณหภูมิ
อุณหภูมิมีผลต่อความเร็วในเจริญเติบโตของต้นชาระยะเวลาที่สามารถเก็บใบชารวมถึงผลผลิตและคุณภาพของใบชาล้วนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทั้งสิ้นอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตของต้นชาคือ 15-30 องศาเซลเซียสซึ่งพื้นที่ภายในเขตมณฑลยูนนานมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีอยู่ในช่วงอุณหภูมิดังกล่าวขณะเดียวกันมณฑลยูนนานก็มีสภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นและมีความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิในตอนกลางวันกับกลางคืนสูงมากซึ่งเป็นปัจจัยที่เหมาะในการสะสมการสังเคราะห์แสงของต้นชาในเวลากลางวันอุณหภูมิสูงส่งผลให้มีการสังเคราะห์แสงเพิ่มขึ้นส่วนในเวลากลางคืนอุณหภูมิที่ต่ำจะมีผลลดการหายใจของพืชและลดการย่อยสลายสารอินทรีย์สภาพภูมิอากาศดังกล่าวทำให้ชาผู่เอ๋อร์ในยูนนานสามารถเพิ่มการสะสมของสารอาหารเพิ่มมากขึ้นผลิตภัณฑ์ที่ได้สามารถนำมาชงได้นานหลายครั้งและสามารถสัมผัสรสชาติในหลายระดับได้อีกด้วย
4. ความชื้น
น้ำมีผลกระทบที่สำคัญต่อต้นชาความอยู่รอดของต้นชาความชื้นมีผลต่อคุณภาพแสงและคุณภาพของใบชายอดอ่อนของชาจะมีปริมาณความชื้นที่ 74%-77% ลำต้นอ่อนจะมีปริมาณความชื้นมากกว่า 80% น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการสังเคราะห์แสงหากใบชาขาดน้ำเพียง 10% จะยับยั้งการสังเคราะห์ของแสงแม้ว่าต้นชาจะชอบความชุ่มชื้นแต่ไม่ควรให้น้ำในปริมาณมากจนเกินไปหรือปล่อยให้น้ำขังพื้นที่ทางลาดเนินเขาเหมาะสำหรับการปลูกชาเพราะสามารถรับปริมาณแสงแดดได้อย่างเต็มที่ความลาดชันของเนินเขาทำให้น้ำไม่ขังหากมีน้ำขังอยู่ในปริมาณมากอาจทำให้รากขาดออกซิเจนและตายในที่สุด
อากาศที่มีปริมาณไอน้ำมากพอจะทำให้เกิดการก่อตัวของหมอกซึ่งคอยกรองแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นช่วยในการพัฒนาคุณภาพของชา ชาที่ดีจะพบได้บนภูเขาสูงที่มีหมอกปกคลุมเนื่องจากหมอกที่ปกคลุมจะช่วยกรองรังสีต่างๆแสงสีม่วงอมฟ้าของรังสีอัลตราไวโอเลตซึ่งมีผลต่อการสร้างกรดอะมิโนเป็นสารที่ก่อให้เกิดความหอมของชาด้วยเหตุนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ชามีความสดชื่นและมีกลิ่นที่หอมหวลทำให้คุณภาพของชาดีขึ้น
ยอดปริมาณน้ำต่อปีที่เหมาะสมสำหรับต้นชาคือ 1000 มม. ขึ้นไป ต้นชาต้องการสภาพดินที่มีความชื้นสัมพัทธ์ระหว่าง 60%-90% และปริมาณที่เหมาะสมคือ 70%-80% ปริมาณความชื้นของอากาศที่เหมาะสมอยู่ที่ 80%-90%
ปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยต่อปีของยูนนานอยู่ที่ประมาณ 1150 มม. พื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกชาควรมีระดับความสูงอยู่ที่ระหว่าง 800-1800 เมตรปริมาณน้ำที่เหมาะสมในการปลูกชาต่อปีอยู่ที่ 1300 - 1800 มม. โดยทั่วไปภูเขาสูงจะมีปริมาณหมอกหนาและมีปริมาณน้ำฝนที่อุดมสมบูรณ์ทำให้ใบชาที่ได้มีขนาดใหญ่และอุดมสมบูรณ์มีปริมาณโปรตีนสูงและอุดมไปด้วยกรดอะมิโนซึ่งทำให้ได้คุณภาพที่สดและมีรสชาติดี
5. แสงสว่าง
ต้นชาเป็นพืชที่ชอบแสงดังนั้นแสงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของต้นชาและ ยังเป็นพืชที่พึ่งพาคาร์บอนที่ได้จากการสังเคราะห์โดยดูดคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศแล้วเปลี่ยนเป็นออกซิเจนด้วยเหตุนี้แสงจึงมีความสำคัญและมีผลกระทบต่อต้นชาอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อคุณภาพของใบชาขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงและคุณภาพของแสง
(1) ความเข้มของแสง
หน้าที่ของแสงที่มีต่อต้นชาขึ้นอยู่กับปริมาณแสงและคุณภาพของแสงหากปริมาณแสงเพียงพอจะมีผลต่อปริมาณการผลิตของใบชาส่วนด้านคุณภาพนั้นหากปริมาณแสงเพียงพอจะทำให้ใบชาหนาและอุดมไปด้วยสารอินทรีย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีปริมาณการสะสมของโพลีฟีนอล (Pholyphenol) มากหากพื้นที่ปลูกชามีแสงไม่เพียงพอจะทำให้ใบชาทีไม่สมบูรณ์ใบชาค่อนข้างเล็กบางและมีจำนวนสารอินทรีย์ในปริมาณน้อย
(2) คุณภาพของแสง
คุณภาพและโครงสร้างของแสงมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนทางเคมีในการแตกใบชาใหม่โดยทั่วไปไร่ชานิยมปลูกพืชประเภทให้ร่มเงาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางของแสงแดดเพราะต้นชาจะมีประสิทธิภาพในการดูดซึมแสงมาก แสงอาทิตย์แบ่งออกเป็น 7 สีตามความยาวของคลื่นแสงได้แก่สีแดงสีส้มสีเหลืองสีเขียวสีน้ำเงินและสีม่วง (เรียงลำดับจากยาวไปหาสั้น) รังสีของแสงสีแดงส้มเอื้อต่อการดูดซึมและการเปลี่ยนแปลงของคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นชาน้ำตาลในใบชาสดรวมถึงโพลีฟีนอล (Pholyphenol) สามารถสะสมเพิ่มมากขึ้นแสงสีม่วงและสีน้ำเงินเอื้อต่อการดูดซึมและใช้ไนโตรเจนปริมาณของสารกรดอะมิโน (amino acid) สารคาเฟอีน (caffeine) และสารอื่นๆก็จะเพิ่มมากขึ้นและการฉายรังสียูวี (UV) จะเอื้อต่อการสังเคราะห์สารอะโรมาติก (Aromatic คือสารที่ทำให้พืชเกิดความหอม) ดังนั้นพื้นที่ไร่ชาที่มีสภาพแสงที่แตกต่างกันจะส่งผลถ้าชามีคุณภาพแตกต่างกันด้วย
มณฑลยูนนานตั้งอยู่ในเขตที่ราบสูงอากาศบริสุทธิ์ความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศต่ำอัตราการส่องของแสงแดดสูงองศาของดวงอาทิตย์อยู่ในระดับสูงช่วงกลางวันจะมีระยะเวลาในการเปิดรับแสงที่ยาวนานและในขณะเดียวกันมณฑลยูนนานมีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อนแสงสว่างเพียงพอหมอกในช่วงกลางวันมากพอทำให้วัตถุดิบที่นำมาผลิตชาผู่เออร์ได้รสชาติที่กลมกล่อมได้ความสดชื่นของชาที่อุดมไปด้วยสารประกอบต่างๆ
เทคโนโลยีอันทันสมัย T (Technology)
เทคนิคการผลิตชาผู่เอ๋อร์ของต้าอี้นั้นได้รับการคัดเลือกและบันทึกให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมแห่งชาติเทคโนโลยีการผลิตชาผู่เอ๋อร์ที่สำคัญที่สุดคือเทคนิคในการผสมผสานใบชาและเทคนิคในการหมักชาผู่เอ๋อร์ทั้ง 2 เทคนิคนี้ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีสูงสุดในกระบวนการผลิตชาผู่เอ๋อร์ของต้าอี้
1. เทคนิคในการผสมชา
การผสมชาหมายถึงกระบวนการนำใบชาหรือก้านใบชาและคุณภาพที่แตกต่างกันแต่ต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานบางอย่างของชาที่คล้ายกันมาผสมกันแล้วค่อยนำไปผลิตวิธีนี้จะเป็นวิธีการปรับปรุงคุณภาพของใบชาและความดั่งเดิมของรสชาติให้คงที่เพื่อตัดปัญหาของสรชาติที่ไม่คงที่ของชาที่คือจุดเด่นของชาผู่เอ๋อร์ต้าอี้ที่ยากจะเรียนแบบนอกจากนี้ยังเพื่อความสวยงามของรูปร่างชาและเพื่อปรับสีสันแผ่นชาให้สม่ำเสมอและการผสมชายังช่วยเพิ่มกลิ่นหอมหรือเพิ่มความเข้มข้นของรสชาติของชาได้อีกด้วย
ทฤษฎีพื้นฐานและหลักการสำคัญของการผสมผสานชาผู่เอ๋อร์มีดังนี้
1. ระบบทฤษฎี “ความเข้ากันได้” เทคนิคการผสมชาผู่เอ๋อร์มาจากทางการแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมชาผู่เอ๋อร์ในสมัยโบราณและในสมัยราชวงศ์ชิงชาผู่เอ๋อร์ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับแพทย์แผนจีนอย่างมากด้วยเหตุที่ทฤษฎีการแพทย์จีนในสมัยโบราณมีคำพูดที่ใช้กันทั่วไปว่า “อาหารและยามีที่มาจากที่เดียวกัน” พวกเขาคิดว่าการดื่มชาผู่เอ๋อร์นอกจากเป็นเครื่องดื่มและเพื่อดับกระหายแล้วยังมีสรรพคุณอื่นๆเช่น “ลดไขมันแก้สร่างเมา” เป็นต้นถือเป็นเครื่องดื่มพิเศษเพื่อสุขภาพ จากบันทึกในราชวงศ์ชิง “เปิ่นเฉ่ากังมู่สืออี๋” ของจ้าวเสว่หมิ่นนักปรุงยาชื่อดังก็ได้บันทึกไว้ว่าชาผู่เออร์เป็นยาสมุนไพรจีนประเภทหนึ่ง
2. จากประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดดั้งเดิมของชาผู่เอ๋อร์อันลือชื่อเริ่มมาจากเป็นศูนย์กระจายสินค้าชาเพื่อให้การผสมชามีส่วนช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของชาในประวัติศาสตร์เมื่อชาผู่เออร์ถูกความร้อนใบชาจะเกิดปฏิกิริยาและกลายเป็นชาที่คลาสิกการค้นพบชาดังกล่าวมาพร้อมกับศูนย์กระจายสินค้าชานั่นเอง
3. การผสมชาผู่เอ๋อร์มุ่งเน้นเพื่อ “ประโยชน์ในด้านความลงตัว” ระหว่างใบชาที่มีหลากชนิดและคุณภาพต่างกันเทือกเขาที่ปลูกชาที่ต่างกันใบชาสดที่ได้มานั้นก็จะมีความแตกต่างกันรสชาติของชาก็แตกต่างกันไปด้วยความแตกต่างกันนี้ไม่เพียงแต่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของปริมาณของสารที่ทำให้เกิดกลิ่นหอมของใบชาแต่ยังสามารถแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างเล็กน้อยของสารภายในของชาด้วยทำให้สารบางชนิดในใบชาเกิดความแตกต่างกันด้วยความแตกต่างที่พบได้จะทำให้เกิดประสิทธิภาพและความเหมาะสมในด้านของ “การปรับโครงสร้าง” และ “บูรณาการ” ของสารที่มีอยู่ในชาซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ชาผู่เอ๋อร์มีคุณภาพที่ดีขึ้นเป็นสิ่งที่คนรักการดื่มชาผู่เอ๋อร์ใฝ่ฝันมาตลอดตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
(การตัดสินความแตกต่างเหล่านี้และนำมาใช้เป็นประโยชน์เพื่อประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ชาที่มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นเป็นความใฝ่ฝันที่คนรักดื่มชาผู่เอ๋อร์พยายามใฝ่ฝันตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน)
4. ส่วนผสมของชาผู่เอ๋อร์เกิดจากการบ่มเพาะตามธรรมชาติด้วยตัวเองหลังขั้นตอนการหมักชาผู่เอ๋อร์การหมักชาผู่เอ๋อร์ต้องผ่านขั้นตอนกระบวนการ ซึ่งถือว่าเป็นการหมักสสารของแข็งจึงจำเป็นต้องมีการผลิตเป็นรูปทรง ชาแผ่นหลังการหมักบ่มจะต้องควบคุมปริมาตรความหนาแน่นของการบีบอัดชาแผ่นและต้องไม่อัดแน่นหรือหลวมจนเกินไปดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากในการทำชาแผ่นให้ได้มาตรฐานหากจะใช้วิธีทางฟิสิกส์ใช้แม่พิมพ์เครื่องอัดต่างๆก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เพราะในใบชาล้วนเต็มไปด้วยใยไฟเบอร์ที่มีความยืดหยุ่นเวลาบีบอัดต้องใช้แรงอัดมากแต่เมื่อผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่งก็คืนรูปร่างเดิมวิธีที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหานี้ได้คือแบ่งระดับวัตถุดิบในการผสมเช่นใช้ชาระดับเจ็ดทำ “โครงสร้างกระดูก” ใช้ชาระดับสามและระดับห้าทำ“ส่วนเสริม” ด้วยวิธีโครงสร้างโครงกระดูกนี้ทำให้ชาผู่เอ๋อร์เกิดชั้นเลเย่อร์ขึ้นส่งผลให้หลังการหมักบ่มแล้วชาจะมีปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงบ่มเพาะด้วยตัวมันเองคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับระดับลำดับชั้นของใบชาบางคนเข้าใจว่าเลือกใบชาสดระดับประเภทยิ่งสูงยิ่งดีบางคนถึงขั้นแสวงหายอดต้นกล้าชาบริสุทธิ์ (ระดับเกรดเอ) มาทำชาแผ่นโดยลืมคิดไปว่ายอดต้นกล้าชาบริสุทธิ์มีปฏิกิริยาไวต่อแรงกดอันส่งผลให้ใยไฟเบอร์ในใบชาถูกจำกัดการพัฒนาอายุการบ่มเพาะด้วยตัวของมันเองในขณะเดียวกันยังมีความเชื่อที่ผิดอีกว่าวัตถุดิบของชาผู่เอ๋อร์ยิ่งมีระดับเกรดสูงคุณค่าทางโภชนาการก็ยิ่งมีมากตามไปด้วยในทางตรงกันข้ามวัตถุดิบเกรดต่ำจะมีคุณค่าทางโภชนาการน้อยลงตามไปด้วย นี่เป็นเพราะการวิเคราะห์วิธีการการนำวัตถุดิบชาผู่เอ๋อร์มาผลิตชาเขียวและชาประเภทอื่นๆกับการวิเคราะห์วิธีการผลิตชาผู่เอ๋อร์แบบดั้งเดิม มีความแตกต่างกันอย่างมาก
5. การผสมชาผู่เอ๋อร์มีศิลปะ ลักษณะสีสันเฉพาะตัวสูง ต้นตำรับผลิตภัณฑ์ชาผู่เอ๋อร์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นชาเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นหลายร้อยปีหรือชาชนิดใหม่ในช่วงเวลากี่สิบปีมานี้ล้วนมีลักษณะพิเศษของชาเฉพาะตัวความเข้มข้นของสีชาที่แตกต่างกันทำให้ความรู้สึกในการลิ้มรสลุ่มลึกยากที่จะลืม ความรู้สึกหรือคุณภาพเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆกับ“วัตถุดิบแท้”และ “วัตถุดิบ一口料” ยิ่งไปกว่านั้นผู้ผลิตได้ใช้ภูมิปัญญาและประสบการณ์ที่ยาวนานในการผลิตด้วยเทคนิคการผสมอันเป็น“ผลงานยอดเยี่ยม”
เทคนิคการผสมชาต้าอี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เด่นๆมี๓ด้านดังนี้
(1) สูตรผลิตภัณฑ์ของต้นตำรับ
ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 70 ปีของโรงงานชาเหมิงไห่จึงได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ชาผู่เอ๋อร์ต้นตำรับรุ่น 7572, 7542 ออกมาชุดใหญ่โดยสูตรต้นตำรับนี้คิดค้นและผลิตเมื่อทศวรรษ 70 และพัฒนาต่อไปในทศวรรษที่ 80 จนพัฒนาสูตรสมบูรณ์ในทศวรรษที่ 90 ประสบการณ์ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีบนเส้นทางธุรกิจค้าชาได้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และถูกขนานนามว่าเป็น “ผลิตภัณฑ์มาตรฐานของชาผู่เอ๋อร์” การออกแบบสูตรต้นตำรับผลิตภัณฑ์มีความสมบูรณ์คุณภาพเป็นเอกลักษณ์สนองความต้องการของตลาด
(2) โครงสร้างคณะบุคลากรที่แข็งแกร่ง
ตั้งแต่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างจนถึงปัจจุบัน มีการคัดเลือกบุคลากรสุดยอดหัวกะทิทางด้านชาจำนวนมากจากทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง จนสิ้นสุดในปีค.ศ. 2012 มีผู้จบปริญญาตรีไม่น้อยกว่า 200 คน, ปริญญาโทมากกว่า 10 คน,และผู้ที่กำลังทำการวิจัยระดับปริญญาเอกและผู้จบปริญญาเอกอีก 2 คนบุคคลเหล่านี้ล้วนได้ถ่ายทอดเทคนิคพื้นฐานเก่าแก่ของโรงงาน ทั้งยังนำความสามารถที่เป็นเลิศของแต่ละบุคคลมาใช้ในการเสริมสร้างกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ชาที่เหมาะสมตามรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน
①คณะผู้เชี่ยวชาญทางผลิตภัณฑ์ชา
ก่อตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญทางผลิตภัณฑ์ชา เพื่อทำงานวิเคราะห์ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ตั้งแต่วัตถุดิบผ่านกระบวนการการผลิตจนถึงสำเร็จรูปเป็นผลิตภัณฑ์ และจากการทำงานวิเคราะห์จนได้ผลสรุปทุกครั้งก็ได้บันทึกจุดเด่น-ด้อยที่เกี่ยวข้องกับใบชาไว้ รวบรวมเป็นรายงานประจำปี, ประจำภูมิภาคและประจำฤดูกาล โดยการคิดสูตรที่ดีต้องนำจุดเด่นของแต่ละอย่างมารวมกัน ด้วยหลักการ“เน้นจุดเด่น”นี้ ได้เลือกนำวัตถุดิบที่เหมาะสมที่สุดมารวมไว้เก็บเป็นข้อมูลวัตถุดิบอย่างละเอียด
②ห้องทดลองเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ชั้นหนึ่ง
การก่อตั้งห้องทดลองที่มีบุคลากรผู้วิเคราะห์ตรวจทดสอบที่เชี่ยวชาญจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศตลอด 12 ปีได้สร้างคณะนักค้นคว้าวิจัยระดับปริญญาโทจำนวน 6 คนและปริญญาตรีอีก 30 คนโดยคัดสรรเครื่องมือวัดที่ได้มาตรฐานสากลที่ดีที่สุดเพื่อคำนวณค่ามวลของเหลวโครมาโตกราฟฟี่(chromatography) สสารของเหลวมวลอากาศและก๊าซทั้งหมดล้วนผ่านการวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลรวมถึงวิจัยทดลองอย่างต่อเนื่องจนทำให้มีข้อมูลคุณภาพวัตถุดิบที่สมบูรณ์แบบ
(3) คลังวัตถุดิบที่สมบูรณ์แบบ
ดั่งคำโบราณกล่าวไว้ว่า “หัวล้านได้หวี” มีของดีแต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เฉกเช่นผู้หญิงก้นครัวมีเสน่ห์ปลายจวัก แต่หากไร้ซึ่งวัตถุดิบในการปรุงอาหารก็ไม่สามารถทำได้ดังนั้นนอกจากจะมีสูตรผลิตภัณฑ์มีผู้เชี่ยวชาญแล้วก็ยังจะต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือวัตถุดิบที่สมบูรณ์ซึ่งวัตถุดิบไม่ว่าจะเป็นในแต่ละช่วงระยะเวลาแต่ละภูมิภาคหรือแต่ละฤดูกาล ต่างก็มีข้อดีและจุดเด่นเฉพาะตัวที่ต่างกัน
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปีค.ศ. 2004 ถึงปัจจุบันต้าอี้ได้สร้างคลังสินค้าที่มีความจุถึงสองหมื่นตันทุกปีในการจัดซื้อจัดจำหน่ายสินค้าในคลังสินค้าสามารถรับประกันคุณภาพการคงสภาพตามรูปแบบที่หลากหลายของวัตถุดิบสะดวกต่อผู้ผลิตในการเลือกใช้ในกรรมวิธีขั้นตอนการผสมชา
2. เทคนิคในการหมักชา
การหมักถือเป็นหนึ่งในเทคนิคสำคัญของชาสุกผู่เอ๋อร์ การหมักจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับคุณภาพชาสุกผู่เอ๋อร์
ตั้งแต่การทดลองเทคนิควิธีการหมักชาสุกของโรงงานชาเหมิงไห่ประสบความสำเร็จในปี 1973 จนเป็นรากฐานเทคนิคการหมักชาของโรงงานชาเหมิงไห่หลังผ่านการพัฒนาและปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบตลอดระยะเวลากว่าหลายสิบปีทำให้เทคนิคการหมักนับวันยิ่งพัฒนาในระดับสูงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีที่ผ่านมา เทคนิคการหมักของโรงงานชาเหมิงไห่มีความก้าวหน้าไปอีกขั้น
ในปีค.ศ. 2005 โรงงานชาเหมิงไห่ได้ใช้เงินลงทุนหนึ่งแสนกว่าหยวนในการสร้างอาคารหลังใหม่ไว้เพื่อดำเนินกรรมวิธีการหมักโดยเฉพาะซึ่งอาคารหมักชาหลังนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานที่มีอยู่เดิมในห้องหมักทั้งยังคงรักษาข้อดีของห้องหมักไว้และเพื่อให้สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ในการหมักด้วย อาคารหมักชาเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ควบคุมที่ทันสมัยสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการหมักและสามารถวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของสสารในระหว่างขั้นตอนการหมักได้อีกด้วยศิลปะเทคนิคการหมักของโรงงานชาเหมิงไห่ไม่เพียงมีฮาร์ดแวร์ชั้นเยี่ยมแต่ยังมีซอฟแวร์ชั้นเลิศด้วย
เนื่องด้วยประสบการณ์อันเฟื่องฟูมากมายของปรมาจารย์เก่าแก่ด้านการหมักบวกกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมชีวภาพจุลินทรีย์และอาหารส่งผลให้เทคนิคการหมักชาผู่เอ๋อร์มีคุณภาพสูงทำสถิติใหม่ ปัจจุบันโรงงานชาเหมิงไห่สามารถรักษาคุณภาพจากการหมักออกมาได้ในระดับตามสภาพของชาเติบโตที่แตกต่างและรสชาติของชาผู่เอ๋อร์ที่แตกต่างกันไปซึ่งเป็นผลสำคัญที่ดีต่อการเพิ่มประสิทธิภาพคุณภาพของผลิตภัณฑ์
จากการค้นคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทเครือต้าอี้คิดเทคนิคในการหมักรุ่นที่สาม(เทคนิค HEMA) ขึ้นในปีค.ศ. 2011 ถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ของการหมักรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
เทคนิคการหมักชาผู่เอ๋อร์รุ่นแรกจะใช้กระบวนการหมักตามธรรมชาติของใบชาเทคนิคการหมักรุ่นสองจะใช้เทคนิคการหมักบ่มเพาะด้วยฝีมือแรงงานคนส่วนเทคนิคการหมักรุ่นสามก็การนำเทคนิคการหมักพื้นฐานของรุ่นหนึ่งและสองมาผสมผสานกันโดยยังคงรักษา “รสเหมิงไห่”แบบดั้งเดิมไว้และมุ่งเน้นความสมบูรณ์แข็งแรงใช้พารามิเตอร์ (parameter) ปรับสภาพแวดล้อมเพื่อรักษาสภาพจุลินทรีย์ในการหมักการใช้จุลินทรีย์และแอลกอฮอร์เป็นกรรมวิธีที่ใช้เทคนิคการหมักทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญเรียกเทคนิคดังกล่าวนี้ว่า “เทคนิค HEMA”ซึ่งรายละเอียดของเทคนิคHEMA มี 4 ประการดังนี้
(1) การแนะแนวด้านสุขภาพความแข็งแรง (Health-orientation)
ด้วยเทคนิคการหมักชาผู่เอ๋อร์ต้าอี้รุ่นสามจนเกิดเป็นชาสุกผู่เอ๋อร์อันมีสรรพคุณในการ “ลดไขมันความอ้วน, เคลือบกระเพาะเสริมความงาม”
(2) สภาพแวดล้อมทางชีวภาพ (Environment)
สภาพภูมิอากาศความชื้นอุณหภูมิและแสงสว่างของโรงงานเหมิงไห่มีระบบนิเวศที่ดีซึ่งเหมาะกับการเพาะขยายพันธุ์ของจุลินทรีย์สภาพแวดล้อมที่ดีมีผลต่อการหมักชาผู่เอ๋อร์ต้าอี้การนำเทคนิคการหมักรุ่นสองของโรงงานชาเหมิงไห่มาใช้จนประสบผลสำเร็จในช่วงทศวรรษที่ 70 สี่สิบปีในการตกตะกอนได้เพิ่มกลุ่มแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อการหมักจนได้รูปแบบการหมักพิเศษของสภาพแวดล้อมขนาดเล็กสภาพอากาศที่แตกต่างรวมกับแร่ธาตุจำนวนมากทำให้ได้น้ำที่มีความเป็นกรดอย่างสมบูรณ์ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมทางชีวภาพของการหมักชาผู่เอ๋อร์ต้าอี้อันเป็นพื้นฐานของ“รสเหมิงไห่”
(3) เทคนิคทางชีวภาพ (Microtechnology)
การสั่งสมของกลุ่มเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยขน์ในขั้นตอนของการหมักชาผู่เอ๋อร์ทำให้เกิดสารการย่อยสลายและเอนไซม์พอลิฟีนอลออกซิเดส (polyphenol oxidase), เอนไซม์เพคติเนส (pectinase), เอนไซม์กลูโคอะไมเลส (Glucoamylase) และเอนไซม์โปรตีเอส (Protease)จำนวนมากเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของเอนไซม์ที่ความหลากหลายจากภายนอกการศึกษาค้นคว้าวิจัยหลักการหมัก, กฎการเปลี่ยนแปลงของเอนไซม์ชนิดต่างๆและกลุ่มเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์รวมถึงกลไกขั้นพื้นฐานโดยนำวิธีการแยกการฟอกการเปลี่ยนแปลงและการสังเคราะห์เอนไซม์มาใช้รวมกับเทคนิควิศวกรรมที่ทันสมัยเพื่อการใช้งานแบบบูรณาการของเอนไซม์สังเคราะห์ที่ซับซ้อน โดยใช้เงื่อนไขของระบบนิเวศในการหมักเพื่อประเมินค่าพารามิเตอร์ของเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการหมักตามหลักวิทยาศาสตร์ การแพร่ขยายของความคิดของการหมักชาผู่เอ๋อร์ทำให้เป็นการหมักที่มีคุณภาพกระตุ้นให้ “รสเหมิงไห่” ของต้าอี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
(4) เทคนิคการเพิ่มอายุ (Aging)
ในขั้นตอนวิจัยกระบวนการการเพิ่มอายุบนพื้นฐานการนำมาใช้และควบคุมโดยการเปลี่ยนแปลงให้มีคุณภาพที่ได้ผลจะต้องใช้ระดับอุณหภูมิความชื้นและเอนไซม์รวมกันที่ดีที่สุดเป็นตัวเร่งการเพิ่มอายุอย่างมีคุณภาพและยังต้องผ่านขั้นตอนการเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป เพื่อให้ได้ลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยนำเอาเทคนิคการเพิ่มอายุมาใช้ กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาให้เกิดคุณภาพที่ดีจนเกิดเป็น “รสเหมิงไห่” แบบดั้งเดิมที่สืบทอดต่อเนื่องกันมา
3. ระยะเวลาที่เหมาะสม
ระยะเวลาที่เหมาะสมหมายถึงชายิ่งแก่ยิ่งหอมโดยทั่วไปแล้วใบชาที่สดใหม่เปรียบเสมือนกับเยาวชนรุ่นใหม่มีความแตกต่างที่เฉพาะตัวบ้างแข็งแรงแต่ไม่ทนทานบ้างมีกลิ่นความสดแต่ไม่นุ่มนวลบ้างก็เป็นแค่เพียงรสฝาดแต่ไม่ขมไม่ก็แค่ขมแต่ไม่หวานดังนั้นชาผู่เอ๋อร์ต้าอี้จึงได้มีการควบคุมดูแลตั้งแต่วัตถุดิบชาจนกระทั่งถึงขั้นตอนการเพิ่มอายุวัตถุดิบชาโดยจะยึดตามลักษณะเฉพาะของวัตถุดิบชาแต่ละชนิดในการออกแบบการเพิ่มอายุเพื่อให้ได้รูปแบบวัตถุดิบชาที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุดระยะเวลาที่เป็นตัวช่วยการเพิ่มความแก่ของชาตามธรรมชาติทำให้ผู้บริโภคได้กลิ่นและรสชาติของชาแก่ปัจจัยไม่เพียงแต่เป็นรสชาติชาที่บริสุทธิ์กาลเวลาที่ยาวนานก็เป็นตัวส่งเสริมที่ดีเช่นกันดังคำอธิบายทั้ง 3 ด้านต่อไปนี้
1. รสแก่ที่กลมกล่อม
ชาผู่เอ๋อร์ที่เพิ่งผ่านกระบวนการการผลิตอาจจะมีทั้งรสขมฝาดและค่อนข้างเข้มข้นแต่เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งส่วนผสมในใบชาที่มีอยู่การเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของโพลีฟีนทำให้เรารู้สึกได้ว่ารสชาติไม่ขมหรือฝาดเกินไปเหมือนในช่วงแรกแต่จะได้รสชาติที่อ่อนนุ่มกลมกล่อมแทน
บางครั้งสีชาแก่เกิดจากการสลายสารรังควัตถุซึ่งส่งผลให้เกิดการชะลอตัวหรือลดลงของธาตุโลหะ และอาจจะเกิดจากการรวมตัวกันของสารรังควัตถุ
รสหอมฝาดที่ผ่านกระบวนการออกซิไดซ์การคัดแยกการย่อยสลายหรือไอโซเมอริซึม(Isomerism) อันเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีเป็นต้นจะค่อยๆแปรเปลี่ยนรูปแบบที่ซับซ้อนและค่อยๆเพิ่มสารที่ทำให้มึนเมาส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีความทันสมัยความร่วมสมัยและมีอรรถรส
ชาผู่เอ๋อร์ที่ยิ่งแก่ยิ่งหอมไม่เพียงแต่มีความหอมแต่ยังมีรสชาติความแก่ของชาไร้รสฝาดมีความกลมกล่อมนุ่มละมุนลิ้น
2. การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงที่เหมาะสม
การรักษาสภาพความสมบูรณ์แข็งแรงของชาผู่เอ๋อร์นั้นขึ้นอยู่กับประเภทของชาโดยชาดิบจะมุ่งเน้นไปที่สารต้านอนุมูลอิสระส่วนชาสุกจะมุ่งเน้นไปที่สารลดไขมัน (hypolipidemic) ทั้งนี้อยู่ที่ปริมาณของมวลสารของการรักษาสมดุลความแข็งแรงสมบูรณ์ของชา
กาลเวลาแห่งการหล่อหลอมชาผู่เอ๋อร์ทำให้ส่วนผสมภายในเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้ องค์ประกอบสำคัญก็เปลี่ยนตามไปด้วยส่วนผสมที่น้อยสุดภายในชาดิบและชาสุกจะปรากฏเด่นชัดหรือไม่ อย่างไรก็ยังคงเน้นการรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงเอาไว้
ปริมาณสารโลวาสแตติน (Lovastatin) ในชาสุกผู่เอ๋อร์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลา 5 ปีจะช่วยเพิ่มสารลดไขมัน (hypolipidemic) ที่ส่งผลต่อการรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น
“ชา,สีเทา, ต้นสูงสามสิบฟุต, ถึงเมืองหยางเซี่ยนไม่เปลี่ยนรูป, เก็บได้ยาวนาน, รสชาติเป็นเลิศ” เป็นการบรรยายลักษณะเด่นของชาผู่เอ๋อร์ไว้ในหนังสือเจียจิ้งต้าหลี่《嘉靖大理府志》โดยผู้แต่งนามว่าหลี่หยวนหยาง
ยิ่งแก่ยิ่งหอมเป็นลักษณะเด่นของชาผู่เอ๋อร์ชาที่ดีก็เหมือนกับไวน์ที่ดีล้วนต้องใช้ระยะเวลาในการเก็บรักษาบ่มเพาะความแก่ชาผู่เอ๋อร์มีชื่อเสียงกล่าวขานกันว่า “ผลิตเมื่อรุ่นปู่จำหน่ายในรุ่นหลาน” โดยชา ผู่เอ๋อร์ที่ผ่านระยะเวลาแห่งการหล่อหลอมบ่มเพาะแล้วให้เกิดความรู้สึกถึงความมีคุณภาพของชา
ความแก่ของชาตามธรรมชาติยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาความนิยมในการดื่มชาผู่เอ๋อร์จะเป็นการต่อชีวิตของชาผู่เอ๋อร์ในวงการชาจากที่เคยเงียบเหงาก็ทำให้มีความนิยมในชาแก่เกิดขึ้นเมื่อชาเข้าสู่กระแสเลือดจะหล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งกับมนุษย์ไปตลอดชีวิต
ความแก่ของชาคือผ่านกระบวนการเทคนิคการเพิ่มอายุซึ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับชาดังเช่นคำที่ว่าฟังคำร่ำลือจากคนอื่นไม่เท่ากับได้ลิ้มรสด้วยตนเองแต่คำกล่าวขานเหล่านี้ก็สามารถก่อให้เกิดชื่อเสียงที่กึกก้องสัมผัสรับรู้กระตุ้นต่อมของการอยากลิ้มรสจนเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของการดื่มชา
ตอนที่ 3 ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มชาผู่เอ๋อร์ต้าอี้
ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ชาผู่เอ๋อร์ต้าอี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆได้แก่ชาแบบดั้งเดิมและชาแบบถุงชารูปแบบของชาขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ผลิตและกลุ่มผู้บริโภคที่มีความชื่นชอบชาที่แตกต่างกันล้วนทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมือนกันดังนั้นการแนะนำผลิตภัณฑ์จะแบ่งออกเป็นชาแบบดั้งเดิมและรูปแบบของการบริโภคชา
ผลิตภัณฑ์ชาแบบดั้งเดิม
ชาแบบดั้งเดิมหมายถึงใบชาอัดผู่เอ๋อร์ซึ่งมีอัตราการผลิตในปัจจุบันค่อนข้างมากโดยมีผลิตภัณฑ์หลักๆเช่นชาทรงอิฐชาแผ่นกลมชาก้อนกลมชาทรงสี่เหลี่ยมหากแบ่งตามมูลค่าของผลิตภัณฑ์จะแบ่งออกเป็น 4 ชุดได้แก่รุ่นคลาสิกรุ่นท๊อปรุ่นชาจักรพรรดิ์รุ่นเซียน
1. รุ่นคลาสิก
(1) การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์
เนื่องจากเป็นชาแบบดั้งเดิมดังนั้นจึงเรียกว่าชุดคลาสสิกขั้นตอนการผลิตจะยึดหลักการผลิตด้วยเทคนิคของต้าอี้แบบ
คลาสสิกดั้งเดิมเป็นหลักโดยวัตถุดิบจะผ่านการคัดเลือก
จากแหล่งปลูกชาชั้นดีด้วยกระบวนการผลิตที่มีความเป็นมา
ทางประวัติศาสตร์อันยาวนานเป็นสูตรตำรับพิเศษที่ไม่เหมือน
ใครด้านการตลาดยึดถือขนาดของยอดขายความครอบคลุมของตลาดภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์คุณค่าทางวัฒนธรรมจากองค์ประกอบทั้ง 4 ด้านนี้ทำให้ยี่ห้อต้าอี้ถือกำเนิดขึ้นถือเป็นพื้นฐานทั่วไปของผลิตภัณฑ์ต้าอี้และเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดเช่นกัน
(2) กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภค
① กลุ่มผู้บริโภคเครื่องดื่มทั่วไป
② กลุ่มผู้บริโภคที่เริ่มดื่มชาผู่เออร์
(3) ลักษณะความแตกต่างของสินค้า
① วัตถุดิบ:แหล่งเพาะปลูกชาผู่เอ๋อร์ชั้นดี
② ปี:ยึดปีนั้นๆของใบชาเป็นหลัก
③ กรรมวิธี:ศิลปะการผลิตชาต้าอี้แบบดั้งเดิม
④ บรรจุภัณฑ์:ใช้บรรจุภัณฑ์แบบดั้งเดิมเป็นหลัก (ห่อด้วยกระดาษหรือกาบไผ่เท่านั้นไม่มีการบรรจุในกล่องหูหิ้วหรือในรูปแบบกล่องของขวัญ) เป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบดั้งเติมคลาสิกและความทันสมัยด้วยเหตุผลที่ว่าการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ควรทำตามความต้องการของตลาดผู้บริโภค
(4) ตัวอย่างผลิตภัณฑ์
① ชุดคลาสสิกเก่าแก่ 5 รุ่น :7542, 7572, 7262, 8582, 8592
② ชาคลาสสิกที่มีเลขสัญลักษณ์อื่นๆ:7592, 8542, 7552 เป็นต้น
③ ชื่อชารุ่นคลาสสิกต่างๆ:ฤดูใบไม้ผลิแห่งเหมิ่งไห่, ชาต้าอี้ก้อนกลมเกรดเอ, รสชาติสุดเข้มข้น (เว้ยจุ้ยเอี้ยน) เป็นต้น
2. รุ่นท๊อป
(1) การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ถือเป็นสินค้าระดับไฮเอนด์ (Hi end) ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต้าอี้วัตถุดิบมาจากแหล่งปลูกชาชั้นดีบนภูเขาชาแถบทางแม่น้ำลางซางที่มีชื่อเสียงจากแนวความคิดแหล่งผลิตที่อุดมสมบูรณ์และการหมักบ่มภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดจึงทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีลักษณะเฉพาะ
(2) กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภค
① กลุ่มผู้บริโภคที่มีความรู้ความเข้าใจชาผู่เอ๋อร์
② นักลงทุน
(3) ลักษณะความแตกต่างของสินค้า
① วัตถุดิบ:แหล่งเพาะปลูกชาผู่เอ๋อร์บนภูเขาที่มีชื่อเสียง
② ปี:1 ปีขึ้นไป
③ กรรมวิธี:ศิลปะการผลิตชาต้าอี้แบบดั้งเดิม
④ บรรจุภัณฑ์:เน้นไปที่สัญลักษณ์และความเป็นเอกลัษณ์ซึ่งมีความแตกต่างกับชาชุดคลาสสิกอย่างเห็นได้ชัดจุดเด่นอยู่ที่อักษรรูปแบบลายเขียนของจีนซึ่งจะมีความหนาและแข็ง (บรรจุในกล่องหูหิ้วหรือในรูปแบบกล่องของขวัญ)
(4) ตัวอย่างผลิตภัณฑ์
ฉลากมังกร, ดวงดาวแห่งเหมิ่งไห่, ชาราศี, ปีทอง,ฉลากทองต้าอี้, ฉลากเงินต้าอี้, นกยูงสีน้ำตาลเป็นต้น
ดวงดาวแห่งเหมิ่งไห่กระต่ายมงคลรับทรัพย์
3. รุ่นจักรพรรดิ์
(1) การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ถือเป็นสินค้าระดับไฮเอนด์ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต้าอี้วัตถุดิบที่ได้ทั้งหมดคัดสรรมาจากแหล่งเพาะปลูกชาผู่เอ๋อร์บนภูเขาที่ดีที่สุดและมีระบบนิเวศสีเขียว ผ่านช่วงระยะเวลาการหมักบ่มตามธรรมชาติซึ่งแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานเทคนิคการหมักซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของต้าอี้
(2) กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภค
① เก็บสะสม
② เป็นของขวัญ
(3) ลักษณะความแตกต่างของสินค้า
① วัตถุดิบ:แหล่งเพาะปลูกชาผู่เอ๋อร์บน
ภูเขาที่มีชื่อเสียง
② ปี :3-5 ปี
③ กรรมวิธี:ศิลปะการผลิตชาต้าอี้แบบดั้งเดิม
④ บรรจุภัณฑ์:เน้นไปที่ศิลปะวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมแบบจีนรูปแบบสไตล์จีนแสดงออกถึงมนุษย์ที่มีวัฒนธรรมเคร่งขรึมคลาสสิกบรรจุอยู่ในกล่องพิเศษเพื่อใช้มอบเป็นของขวัญ
(4) ตัวอย่างผลิตภัณฑ์
เสามังกร , ลิลลี่สีขาวบัว , พระราชวังผู่เอ๋อร์
4. รุ่นเซียน
(1) การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์
เป็นชายอดนิยมในกลุ่มผลิตภัณฑ์ตาอี้วัตถุดิบคัดสรรมาจากแหล่งปลูกชั้นดีโดยจะใช้ชาจากต้นชาโบราณบนภูเขาชาและผ่านการหมักบ่มตามธรรมชาติเป็นระยะเวลานานชาที่ได้จะมีคุณภาพที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งจะออกจำหน่ายในจำนวนจำกัด ด้วยกรรมวิธีการผลิตชาแบบต้าอี้ซึ่งสั่งสมประสบการอันยาวนานมากว่า 70 ปีโดยผ่านมาตรฐานอุตสหกรรมกรรมวิธีและด้วยคุณภาพทำให้ต้าอี้กลายเป็นผู้นำทางด้านมาตรฐานอุตสหกรรมและได้รับการกล่าวขานว่าเป็นวัฒนธรรมแห่งมนุษย์
(2) เป้าหมายหลักของกลุ่มผู้บริโภค
①เพื่อเก็บสะสม。
②เพื่อมอบเป็นของขวัญ。
(3) ลักษณะเด่นของผลิตภัณฑ์
① วัตถุดิบ:ชาต้นใหญ่ในแหล่งเพาะปลูกชาผู่เอ๋อร์บนเขาที่มีชื่อเสียง
② ปี: 6 ปีขึ้นไป
③ กรรมวิธี:วิธีการผลิตชาต้าอี้แบบดั้งเดิม
④ บรรจุภัณฑ์:เน้นศิลปะทางวัฒนธรรมของจีนโดยนำเอาความยิ่งใหญ่ความตรงไปตรงมาเรียบง่ายมาผสมผสานจนเกิดเป็นบรรจุภัณฑ์ใช้สำหรับส่งมอบเป็นของขวัญ
(4) ตัวอย่างผลิตภัณฑ์
ชารุ่นการรำลึกร้อยปีแห่งการปฏิวัติซินไห้
辛亥百年
ร้อยปีแห่งการปฏิวัติซินไห้
ชาแบบถุงชา
แหล่งผลิตหลักของชาแบบถุงเป็นบริษัทธุรกิจชาตงกว่านใช้ชาเชียวใบใหญ่ยูนนานอบแห้งจากไร่ชาเหมิงไห่ที่มีคุณภาพเป็นวัตถุดิบโดยใช้เทคนิคการผลิตชาแบบต้าอี้ผ่านการผสมผสานทางวิทยาศาสตร์และการผลิตที่ละเอียดทุกขั้นตอนรวมถึงการใช้เทคนิคแปรรูปชาถุงที่ทันสมัยที่สุดในโลกด้วย
สะดวกในการหยิบใช้ง่ายต่อการพกพาเหมาะกับสภาพสังคมปัจจุบันปลอดภัยสะดวกสบายรวดเร็วและมีคุณภาพ
จากการวิเคราะห์ตำแหน่งของผลิตภัณฑ์และการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ในตลาดรูปแบบผลิตภัณฑ์ชาถุงสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชุดหลักๆ
1. รุ่นคลาสสิก
สถานะของผลิตภัณฑ์:เป็นมรดกสืบทอดของวิธีการผลิตชาแบบดั้งเดิมที่สมบูรณ์แบบซึ่งเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1940 โดยใช้เทคนิคการผสมผสานตามหลักวิทยาศาสตร์และขั้นตอนการผลิตเป็นชาผู่เอ๋อร์ที่หอมเข้มข้นในรูปแบบถุงชาขนาดเล็กเพื่อความสะดวกในการพกพาให้คุณได้ลิ้มรสชาผู่เอ๋อร์แบบคลาสสิกทุกที่ทุกเวลา
经典生茶经典熟茶
ชาดิบรุ่นคลาสสิกชาสุกรุ่นคลาสสิก
2. รุ่นคัดพิเศษ
(1) การเลือกระยะเวลาโดยพิเศษ
สถานะของผลิตภัณฑ์:ชาผู่เอ๋อร์มีความสมบูรณ์ในรสชาติไปตามกาลเวลาความเข้มข้นที่เด่นชัดคุณภาพที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมาคุณภาพของชาต้าอี้ก็ดีมากยิ่งขึ้นส่งกลิ่นหอมให้คุณได้สัมผัสถึงรสชาติที่วิเศษผลิตภัณฑ์หลักของรุ่นคัดพิเศษคือชาดิบคัดพิเศษ 6 ปีและชาสุกคัดพิเศษ 6 ปีเป็นต้น
ชาดิบคัดพิเศษ 6 ปีชาสุกคัดพิเศษ 6 ปี
(2) แหล่งกำเนิดของผลิตภัณฑ์
แหล่งกำเนิดหลักๆอยู่ที่ปาต๋าและปู้หลั่ง
A:ปาต๋า
ผลิตภัณฑ์ที่ถูกคัดเลือกพิเศษของเครือต้าอี้เกิดจากการนำต้นกล้าใบชาของแหล่งปาต๋ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตซึ่งเป็นหนึ่งในสองไร่ชาใหญ่ไร่ชาตั้งอยู่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณกว่า 1,700 เมตร มีสภาพอากาศชื้นตลอดปีปริมาณน้ำฝนมากต้นชาเติบโตในฤดูกาลที่เต็มไปด้วยหมอกตลอดวันท่ามกลางความหอมที่อบอวลไปทั่วไร่ชาบนเขาสูงปาต๋าทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายไปกับกลิ่นหอมของธรรมชาติ
B:ปู้หลั่ง
ผลิตภัณฑ์ที่ถูกคัดเลือกพิเศษของเครือต้าอี้เกิดจากการนำต้นกล้าใบชาของแหล่งปู้หลั่งมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตซึ่งเป็นหนึ่งในสองระบบนิเวศน์ในไร่ชาไร่ชาตั้งอยู่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณกว่า 1,200 เมตรมีปริมาณน้ำฝนมากต้นชาเติบโตในฤดูกาลที่มีแสงแดดอย่างเหมาะสมท่ามกลางกลิ่นบริสุทธิ์ที่อบอวลไปทั่วไร่ชาบนเขาสูงปู้หลั่งทำให้คุณสัมผัสถึงความสดชื่นบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
3. รุ่นดอกไม้
ผลิตภัณฑ์หลักได้แก่ชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นเปลือกส้ม, ชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นใบบัว, ชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นดอกเบญจมาศ, ชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นกุหลาบ
(1) ชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นเปลือกส้ม
ความหอมของชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นเปลือกส้มมาจากส่วนผสมระหว่างกลิ่นพิเศษของเปลือกส้มกับการบำรุงเพาะพันธุ์ที่ประณีตยามที่คุณเหนื่อยล้าชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นเปลือกส้มจะสามารถช่วยให้ร่างกายของคุณผ่อนคลายอบอุ่นและเบาสบาย
(2) ชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นใบบัว
ความหอมของชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นใบบัวมาจากส่วนผสมระหว่างกลิ่นพิเศษของใบบัวกับการบำรุงเพาะพันธุ์ที่ประณีตชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นใบบัวจะช่วยปรับสมดุลในร่างกายทำให้คุณดูดีและมีความสุข
(3) ชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นดอกเบญจมาศ
ความหอมของชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นดอกเบญจมาศมาจากส่วนผสมระหว่างกลิ่นพิเศษของดอกเบญจมาศกับการบำรุงเพาะพันธุ์ที่ประณีตยามที่สภาพร่างกายและจิตใจขุ่นมัวหมองหม่นชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นดอกเบญจมาศจะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นเย็นสบายทำให้คุณสบายและมีสมาธิ
(4) ชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นกุหลาบ
ความหอมของชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นกุหลาบมาจากส่วนผสมระหว่างกลิ่นพิเศษของดอกกุหลาบกับการบำรุงเพาะพันธุ์ที่ประณีตในเวลาที่คุณยุ่งไม่ควรลืมดูแลใบหน้าของตนเองชาสุกผู่เอ๋อร์กลิ่นกุหลาบจะช่วยเสริมความงามและเพิ่มความสดใสให้กับใบหน้ากลิ่นกุหลาบจะทำให้คุณสัมผัสถึงความอ่อนหวานและโรแมนติก
คำถามที่พบบ่อย
กลุ่มความรู้และสรรพคุณชาผู่เอ๋อร์สุก และชาผู่เอ๋อร์ดิบ
เพื่อนๆถามว่า : คนเป็นเบาหวานควรดื่มชาประเภทไหน?
mr.puerh ตอบ : แนะนำเป็นชาผู่เอ๋อร์ ชนิด สุกครับผม เพราะว่า ในชาผู่เอ๋อร์สุก
เพราะมีทีโพลีฟีนอล เมื่อมันจับตัวกับน้ำตาลแล้วทำให้โมเลกุลมันใหญ่ขึ้น
ทำให้ลดการดูดซึมของโมเลกุลน้ำตาลได้
เพื่อนๆถามว่า : ดื่มแทนน้ำเลยได้หรือไม่
mr.puerh ตอบ : ได้ครับ สำหรับชาสุก เพราะ มีคาแฟอีน ต่ำหรือไม่มีเลย ทำให้สามารถดื่มได้ทั้งวันครับ
ส่วนชาดิบ จะยังมีคาแฟอีน ทำให้ไม่ค่อยเหมาะกับการดื่มก่อนนอน
เพื่อนๆถามว่า : ชาผู่เอ๋อร์ดิบ เก็บไปนานๆเป็น 50 ปี จะเป็นชาผู่เอ๋อร์ดิบหรือไม่
mr.puerh ตอบ : คำถามนี้พบเจอได้บ่อยครับ หลังจากที่ผมไปสอบถามจากผู้ผลิตชาผู่เอ๋อร์แล้วได้คำตอบว่า
ชาผู่เอ๋อร์ดิบ เก้บให้เก่ายังไงก็เป็นชาผู่เอ๋อร์ดิบเก่าไม่มีทางเป็นชาผู่เอ๋อร์สุกได้เลย
เพราะกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน ดังนั้น ชาผู่เอ๋อร์สุกก็คือชาผู่เอ๋อร์สุก
ชาผู่เอ๋อร์ดิบที่อายุเยอะมากๆก็คือชาผู่เอ๋อร์ดิบเก่า ครับ
>>> เข้าชมคำถามที่พบบ่อย <<<
หน้าที่เข้าชม | 334,704 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 150,205 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ก.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 1 ก.ย. 2568 |