จีน VS อินเดีย ใครกันแน่ที่เป็นต้นกำเนิดของต้นชา?
แหล่งกำเนิดของต้นชา
คำตอบคือ จีน เป็นประเทศแรกที่ค้นพบและใช้ประโยชน์จากต้นชาจึงถูกขนานนาม Motherland of Tea ( มาตุภูมิแห่งชา ) จากหลักฐานที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรชาวจีนเริ่มเพาะปลูกและใช้ประโยชน์จากต้นชาตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อน
ประเด็นแหล่งกำเนิดของต้นชาจากการค้นพบล่าสุดซึ่งได้รับการยอมรับแล้ว ระบุว่าแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของต้นชาก็คือประเทศจีน โดยมีการระบุแน่ชัดด้วยว่าเป็นพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ศูนย์กลาง คือมณฑลยูนนาน กุ้ยโจว และเสฉวน
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาและการเพาะปลูกโดยมนุษย์ต้นชาจึงเริ่มแพร่หลายไปทั่วประเทศจีนและค่อยค่อยกระจายตัวไปทั่วโลกจากการศึกษาด้วยวิธีอนุกรมวิธานพืช (Plant Taxonomy) นักพฤกษศาสตร์เห็นว่าต้นชาถือกำเนิดมาได้ราว 60 ถึง 70,000,000 ปีที่แล้วจีนคือแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของต้นชานับแต่โบราณมาทั่วโลกล้วนให้การยอมรับ
แต่ภายหลังปี 1824 การค้นพบต้นชาป่าของอินเดีย ทำให้เกิดการถกเถียงขึ้นในแวดวงนักวิชาการนานาชาติโดยผู้เห็นต่างเชื่อว่าจีนไม่มีต้นชาป่าอันที่จริงราว ปี ค.ศ. 200 ในศัพทานุกรม เล่มแรกของจีนที่มีชื่อว่า “เอ๋อร์หย่า” ก็มีการเอ่ยถึงต้นชาป่าขนาดใหญ่เอาไว้นอกจากนี้ข้อมูลในปัจจุบันยังระบุชัดว่าทั่วจีนมีการค้นพบต้นชาป่าขนาดใหญ่ถึง 198 แห่งใน 10 มณฑลโดยในมณฑลยูนานมีต้นหนึ่งอายุมากถึง 1700 ปี และมีอีก 10 กว่าต้นที่มีขนาดลำต้นเกิน 1 เมตรบางแห่งยังมีตรงต้นชาป่าขนาดพื้นที่หลายพันไร่ในจีนด้วยช้ำ
ยิ่งไปกว่านั้นจากการศึกษายังระบุว่าต้นชาป่าที่พบในอินเดียแท้จริงแล้วเป็นการกลายพันธุ์จากต้นชาที่นำไปจากเมืองจีนนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงได้ข้อสรุปเป็นที่ยืนยันว่าจีนคือแหล่งกำเนิดเดิมของต้นชา และมีการระบุเจาะจงเป็นพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน จากการศึกษาเชิงลึกในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมานี้โดยเหตุผลหลักมีอยู่สามด้าน คือ
ปัจจุบันพืชในวงศ์ชาที่ค้นพบแล้วทั้งสิ้น 23 สกุล 380 กว่าชนิดมีอยู่ในประเทศจีนถึง 15 สกุล 260 กว่าชนิดโดยส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่บริเวณมณฑลยูนาน กุ๊ยโจว และเสฉวน ส่วนพืชสกุล Camellia ที่ค้นพบแล้วกว่า 100 ชนิด มีอยู่ในที่ราบสูงยูนานและกุ๊ยโจว ถึง 60 กว่าชนิด โดยในจำนวนนี้ชนิดที่พบมากที่สุดคือ ต้นชา ในมุมมองด้านพฤกษศาสตร์หากศูนย์กลางแหล่งกำเนิดของพืชหลายสกุลกระจุกตัวอยู่ที่หนึ่งที่ใดก็แสดงว่าทีมงานคือศูนย์กลางแหล่งกำเนิดของพืชวงศ์นั้น ดังนั้นภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน จึงถือเป็นแหล่งกำเนิดของต้นชา
ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนมีเทือกเขาสลับซับซ้อนแม่น้ำภูเขาตัดสลับสภาพภูมิประเทศแตกต่างกันมากก่อให้เกิดเขตธรณีสัณฐานและเขตอากาศขนาดย่อมที่แตกต่างกันจำนวนมากทำให้ต้นชาดั้งเดิมของที่นี่ค่อยค่อยเกิดการกลายพันธุ์ พัฒนาเป็นต้นชาชนิดใบใหญ่และชนิดใบกลางในเขตอากาศร้อนกึ่งเขตร้อน และพัฒนาเป็นต้นชาชนิดใบกลางและใบเล็กในเขตอากาศอบอุ่น นักพฤกษศาสตร์เห็นว่าพื้นที่ที่พืชชนิดหนึ่งชนิดใดเกิดการกลายพันธุ์มากที่สุด พื้นที่นั้นก็คือศูนย์กลางแหล่งกำเนิดของเพื่อชีวิตนั้นดังนั้นสามมณฑลภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนจึงเป็นแหล่งศูนย์กลางแหล่งกำเนิดของต้นชา
ต้นชามีวิวัฒนาการมาตลอดประวัติศาสอันยาวนานของมันดังนั้นพื้นที่ที่มีการกระจุกตัวของต้นชาในรูปแบบดังเดิม จึงถือเป็นแหล่งกำเนิดของต้นชา โดยต้นชาป่าขนาดใหญ่ในสามมณฑลภาคตะวันตกเฉียงใต้และพื้นที่ข้างเคียงมีลักษณะทางสัณฐานวิทยาและชีวะเคมีของต้นชาดังเดิม จึงพิสูจน์ได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวคือจุดศูนย์กลางแหล่งกำเนิดของต้นชา
อ่านบทความอื่นๆได้ที่นี่
คำถามที่พบบ่อย
กลุ่มความรู้และสรรพคุณชาผู่เอ๋อร์สุก และชาผู่เอ๋อร์ดิบ
เพื่อนๆถามว่า : คนเป็นเบาหวานควรดื่มชาประเภทไหน?
mr.puerh ตอบ : แนะนำเป็นชาผู่เอ๋อร์ ชนิด สุกครับผม เพราะว่า ในชาผู่เอ๋อร์สุก
เพราะมีทีโพลีฟีนอล เมื่อมันจับตัวกับน้ำตาลแล้วทำให้โมเลกุลมันใหญ่ขึ้น
ทำให้ลดการดูดซึมของโมเลกุลน้ำตาลได้
เพื่อนๆถามว่า : ดื่มแทนน้ำเลยได้หรือไม่
mr.puerh ตอบ : ได้ครับ สำหรับชาสุก เพราะ มีคาแฟอีน ต่ำหรือไม่มีเลย ทำให้สามารถดื่มได้ทั้งวันครับ
ส่วนชาดิบ จะยังมีคาแฟอีน ทำให้ไม่ค่อยเหมาะกับการดื่มก่อนนอน
เพื่อนๆถามว่า : ชาผู่เอ๋อร์ดิบ เก็บไปนานๆเป็น 50 ปี จะเป็นชาผู่เอ๋อร์ดิบหรือไม่
mr.puerh ตอบ : คำถามนี้พบเจอได้บ่อยครับ หลังจากที่ผมไปสอบถามจากผู้ผลิตชาผู่เอ๋อร์แล้วได้คำตอบว่า
ชาผู่เอ๋อร์ดิบ เก้บให้เก่ายังไงก็เป็นชาผู่เอ๋อร์ดิบเก่าไม่มีทางเป็นชาผู่เอ๋อร์สุกได้เลย
เพราะกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน ดังนั้น ชาผู่เอ๋อร์สุกก็คือชาผู่เอ๋อร์สุก
ชาผู่เอ๋อร์ดิบที่อายุเยอะมากๆก็คือชาผู่เอ๋อร์ดิบเก่า ครับ
>>> เข้าชมคำถามที่พบบ่อย <<<
หน้าที่เข้าชม | 334,704 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 150,205 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ก.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 1 ก.ย. 2568 |